มาตรา ๓๓๖ ผู้ใดลักทรัพย์โดย[1]ฉกฉวยเอา
[2]ซึ่งหน้า
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้[3]ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
มาตรา ๓๓๖ ทวิ
ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๓๓๔ มาตรา ๓๓๕ มาตรา ๓๓๕ ทวิ หรือมาตรา ๓๓๖
โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ
หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือ[4]โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป
หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
กึ่งหนึ่ง
[1] ฉกฉวย หมายถึง
การที่หยิบจับทรัพย์นั้นโดยเร็ว
[2] ซึ่งหน้า
หมายถึง ทรัพย์ที่ฉกฉวยอยู่กับหรือใกล้ชิดกับตัวผู้ครอบครอง หรือผู้ครอบครองแทน
และขณะที่ถูกฉกฉวยผู้นั้นรู้สึกตัวหรือเห็นการฉกฉวยเอาทรัพย์นั้นไปด้วย
ดังนั้นหากเป็นการกระตุกสร้อยทางด้านหลัง
แต่เจ้าทรัพย์รู้สึกตัวและเห็นเหตุการณ์ก็ถือว่าเป็นการกระทำซึ่งหน้า ๑๓๑๕/๑๓
[3] คำว่า “ผู้อื่น”
ไม่ได้หมายความถึงผู้ที่กระทำความผิดด้วยกัน
[4] การกระทำความผิดตามม.๓๓๖
ทวิ
นั้นต้องดูที่เจตนาของผู้กระทำความผิดเป็นสำคัญว่าต้องการใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทำความผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมหรือไม่ ประเด็นคือ
จำเลยมีเจตนาจะลักเงินในกระเป๋าที่วางอยู่ในรถที่จำเลยขับอยู่ก่อนแล้ว
โดยใช้อุบายหลอกให้ลงรถโดยให้ไปซื้อน้ำอัดลม แล้วถือโอกาสขับรถดังกล่าวหนี
จำเลยไม่มีเจตนาจะใช้รถตามม.๓๓๖ทวิ ผิดแค่ ๓๓๔ ฎ๑๔๘๖/๔๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น