วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ม.๓๔๑-๓๔๘


[1]มาตรา ๓๔๑  ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ[2]แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ[3]ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น[4]ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม [5]ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๒  ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ
(๑) [6]แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
(๒) อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๓  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ[7]ต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๓๔๒ อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท

มาตรา ๓๔๔  ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวง[8]บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใดๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๕  ผู้ใด[9]สั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือเข้าอยู่ในโรงแรม โดยรู้ว่าตนไม่สามารถชำระเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม หรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๖  ผู้ใดเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอ หรือเป็นเด็กเบาปัญญา และไม่สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสารสำคัญแห่งการกระทำของตน จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๗  ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันวินาศภัย แกล้งทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๘  ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา ๓๔๓ เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] ความแตกต่างระหว่างลักทรัพย์กับฉ้อโกง ได้แก่ การใช้อุบายหลอกลวงให้ผู้อื่นส่งมอบการยึดถือ เป็นเรื่องลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย แต่การฉ้อโกง เป็นการหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ แต่ลักทรัพย์เป็นเรื่องการแย่งการครอบครอง เช่น ไปที่ห้างนำเหล้าใส่กล่องน้ำปลา ไปจ่ายเงินค่าน้ำปลา เป็นลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายเพราะเป็นการใช้อุบายให้ผู้อื่นส่งมอบการยึดถือ แต่หากนำบาร์โค้ดมาติดสลับราคา เป็นฉ้อโกง เพราะเป็นการหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ (ง่าย ๆ เจ้าของหรือผู้ครอบครองเต็มใจส่งมอบทรัพย์นั้นโดยเต็มใจเพราะเชื่อหรือไม่ หากใช่เป็นฉ้อโกง หากไม่ใช่เป็นลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย) ตัวอย่างการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย เช่น ขอทดลองม้าเจ้าของยังไม่ทันอนุญาตก็ส่งบังเหียนให้เพื่อนขี่ม้าหนีไป ,เรียกเอาเงินทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลแล้วเอาไป เป็นลักทรัพย์เพราะผู้เสียหายเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ,ขณะเติมน้ำมันไม่ได้ดับเครื่อง ฝาปิดน้ำมันไม่มี เป็นเจตนาทุจริตมาแต่ต้นที่จะลักทรัพย์ , ตัวอย่างฉ้อโกง ขี่จักรยานมาเติมน้ำมัน เมื่อเติมเสร็จผู้เสียหายทวงเงินก็นำลูกกลม ๆ ออกมาถือคล้ายลูกระเบิดบอกว่าไม่มีเงินให้นี่เอาไหม แล้วก็ขี่จักรยานยนต์หนีไป ,หลอกนายสถานีรถไฟว่าเป็นนายบ. เจ้าของพันธ์ไม้ นายสถานีเชื่อส่งมอบให้ไปเป็นฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ,
[2] การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  ต้องเป็นข้อเท็จจริงในอดีต หรือในปัจจุบัน ถ้าเป็นการให้คำมั่นหรือกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตแล้วไม่ผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งแนวฎีกาจะมีปัญหาการตีความว่าเป็นสัญญาทางแพ่ง เช่น อ้างว่าจะนำเงินที่ได้ไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจ โดยไม่ได้นำไปซื้อและไม่คืน๗๐๗/๑๖ ,ยืมเงินโดยนำเช็คลงวันที่ล่วงหน้ามาค้ำ ๑๑๕๓/๑๑ ,ตกลงขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและผู้เสียหายวางเงินมัดจำไว้ ต่อมาไม่ขายไม่คืนเงิน๓๗๘๔/๓๒ ,กรณีตีความว่าเป็นฉ้อโกง เช่น จำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและส่งมอบสินค้า และวันเดียวกันได้ออกเช็คค่าสินค้าที่หลอกลวง(ต่างจากฎีกาข้างต้นว่าจ่ายเช็คล่วงหน้า) ,ทำทีเข้าไปซื้อสบู่ส่งเงินให้ ๑๐๐ บาท ต่อมาบอกไม่เอาสบู่แล้วขอเงินคืน โดยส่งคืนสบู่และเงินทอนไม่ครบ ๑๕๑๔/๐๘ ,ชักชวนไปทำงานต่างประเทศแล้วไม่ส่งไป ,ให้ผู้เสียหายติดต่อซื้อโคมาให้และจะนำค่าโคและนายหน้ามาจ่าย เมื่อถูกจับให้การว่าชำระเงินแล้ว ผิดฉ้อโกง ,
[3] ปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง เช่น หลอกว่าส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศได้ โดยที่จำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจัดหางาน ,
[4] ต้องเป็นการได้ไปซึ่งทรัพย์สิน กรณีไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ได้แก่ เอาพ่อเข้าสมัครเป็นสมาชิกฌาปนกิจ อ้างว่านายเอเป็นนายบีบิดาจำเลย เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ที่จริงแล้วป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ การหลอกลวงมีผลให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาทำให้ได้รับทรัพย์สินไปจากผู้เสียหาย แม้ต่อมามีการจ่ายเงินสงเคราะห์ไปเนื่องจากนายเอตาย หาใช่เรื่องจากการหลอกลวงไม่ ๓๖๖๗/๒๖ , หลอกว่ารถจำเลยขัดข้อง ว่าจ้างรถผู้เสียหายไปส่ง ผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้รับผลเพียงการขนส่งไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ,จอดรถโดยไม่เสียค่าจอดไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ,(ต้องเป็นการหลอกไปจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่) ความผิดฐานฉ้อโกงไม่ได้จำกัดว่าผู้ที่ถูกหลอกลวงต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ แม้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ใครหลอกลวงให้ส่งทรัพย์ก็ผิด ๒๗๐๕/๔๓ ,หลัก  ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผิดที่ต้องการผล หากไม่เกิดผลเป็นพยายามเช่น หลอกว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลสั่งนมให้นำไปส่งรพ.ศิริราชส่วนหนึ่ง อีกส่วนไปส่งที่ท่าช้าง ได้โทรไปถามผู้อำนวยการได้รับแจ้งว่าไม่ได้สั่งซื้อ ได้แจ้งให้ตำรวจจับโดยให้คนของบริษัทไปส่งตามที่กำหนดแล้วตำรวจเข้าจับ เป็นพยายาม เพราะการส่งมอบมิได้เกิดผลจากการหลอกแต่เป็นเพียงอุบายเพื่อหลอกจับ
[5] ทำถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ เช่น นำโฉนดที่ได้รับการเพิกถอนแล้วให้ยึดถือประกัน เมื่อหนี้ถึงกำหนดเสนอโฉนดที่ดินดังกล่าวชำระแทนเงินกู้ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายคืนสัญญากู้ ,หลอกลวงพนักงานโจทก์ว่าได้ขอไถ่ถอนจำนองแล้ว พนักงานได้ออกเอกสารปลดจำนอง ,ปลอมตั๋วเครื่องบิน มอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว นำไปขึ้นเครื่องบิน ๑๕๐๘/๓๘
[6] แสดงตนเป็นบุคคลอื่น หมายถึง เป็นคนอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่หลอกลวงหรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจฐานะของตนผิดไปเท่านั้น และอ้างบุคคลที่ไม่มีตัวตนก็ผิดได้ เช่นอ้างว่าเป็นร้อยตำรวจ จ.ประจำกองสอบสวนกลางปทุมวัน แม่ความจริงไม่มีร้อยตำรวจ จ.ก็ผิดแล้ว
[7] ประชาชน หมายถึง บรรดาพลเมืองซึ่งมีความหมายถึงชาวเมืองทั้งหลาย ๗๐๙/๒๓ กรณีถือว่าไม่เป็นประชาชน เช่น หลอกนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง อ้างว่าเป็นข้อสอบที่จะออกจริง กรณีถือว่าเป็นประชาชน เช่น จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์ให้สมัครงาน
[8] บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หมายถึง เจตนาหลอกลวงให้ได้ถึง ๑๐ คน มาตั้งแต่แรก และการหลอกลวงได้มาทำงานที่ละคนสองคน ถึงแม้คนที่ถูกหลอกมาตั้งแต่แรกเลิกทำงานไปเสียก่อนจะครบ ๑๐ คนถ้าได้มาครบ ๑๐ คนแล้วแม้จะไม่ใช่ในขณะเดียวกันหรือพร้อมกันก็ยังเป็นความผิดตามมาตรานี้
[9] การสั่งซื้อและบริโภค หมายถึง การสั่งซื้อและบริโภคอาหารซึ่งเป็นการกระทำต่อเนื่องในเวลานั้น ,ดังนั้นหากสั่งอาหารล่วงหน้าหลายวัน หรือนำสินค้ามากินบ้านและจะจ่ายภายหลังไม่ผิดมาตรานี้แต่ผิดสัญญาทางแพ่ง อ้างฎีกาที่ ๑๖๘๖/๕๐ ,๑๐๗๗/๑๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น