มาตรา ๑๔๗ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน [1]มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต
และปรับตั้งแต่สองพัน บาทถึงสี่หมื่นบาท
[1] มีหน้าที่ตามกฎหมายหรือโดยการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น
หากแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นผู้แต่งตั้งไม่มีอำนาจก็ไม่ผิด ๑๔๗ และหากผิด ๑๔๗มักจะผิด ๑๕๗ ดังนั้น
ครูใหญ่มอบให้ครูน้อยเป็นหัวหน้าแผนกการเงินแล้วยักยอกผิด ๑๔๗
แต่ถ้ามอบหมายให้รักษาเงินสวัสดิการของข้าราชการที่มิได้มีกฎหมายกำหนดว้า
มิได้มุ่งหมายใช้จ่ายในทางราชการ แต่เป็นการใช้จ่ายช่วยเหลือข้าราชการเป็นการส่วนตัวจึงมิใช่เจ้าพนักงานปฏิบัติการตามตำแหน่งหน้าที่ยักยอกไม่ผิด
๑๔๗ แต่ผิด ๓๕๒(ไม่จำต้องอาศัยฐานะความเป็นเจ้าพนักงาน),แม้ทรัพย์ที่จำเลยมีหน้าที่ซื้อ
ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์จะไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของทางราชการก็ตาม,แต่ถ้าเรียกค่าธรรมเนียมเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนด
แล้วเอาส่วนที่เกิดไว้ทรัพย์ที่เกินไม่อยู่ในความหมายของทรัพย์ตาม ๑๔๗,หรือเงินที่สมัครใจให้แก่เจ้าหน้าที่เป็นค่าบริการมิใช่ทรัพย์ที่จำเลยมีหน้าที่ซื้อ
ทำ จัดการหรือรักษา๓๔๑๐/๒๕๒๕
แต่เจ้าหน้าที่ขับรถยนต์ย่อมมีหน้าที่รักษารถยนต์และน้ำมันในรถยนต์ด้วยการเบียดบังน้ำมันผิด
๑๔๗ หากเป็นเพียงลูกจ้างผิดลักทรัพย์นายจ้าง ฎีกาน่าสนใจ
จำเลยขายซากเรือใช่ไม่ได้ในราคาสูงและนำมาซื้อเครื่องตัดหญ้าโดยไม่ได้ทำตามระเบียบ
ขาดเจตนาทุจริตไม่ผิด ,ความแตกต่างระหว่างความผิด ๑๔๗กับ ๑๕๑ คือความผิดตาม ๑๔๗ เป็นเรื่องการเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่หรือเอาตัวทรัพย์นั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว
ส่วนความผิดตาม ม.๑๕๑
เป็นเรืองที่ผู้กระทำผิดมิได้เอาทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์หรือเอาตัวทรัพย์เสีย
หากอาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ตนมีเกี่ยวกับทรัพย์อันใดอันหนึ่งหาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากตัวทรัพย์
๖๐๕/๑๑ทั้งนี้มีผิดทั้ง ๑๕๑และ ๑๔๗ เช่น
เป็นเจ้าพนักงานการรถไฟนำตั๋วที่ขายแล้วมาขูดลบถอนแก้ไขที่ใช้ไม่ได้เป็นใช้ได้
แล้วนำมาขายอีก เบียดบังค่าธรรมเนียม ผิด ๑๕๑และ๑๔๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น