มาตรา ๑๔๓ ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น [1]เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้[2]จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ
สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล
โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการ[3]ในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[1] เพียงแต่เรียกก็ผิดแล้ว
แม้ผู้ถูกเรียกจะไม่เชื่อหรือไม่มีเจตนาจะมอบเงินให้
แต่หลอกให้รับเงินไว้เพื่อเป็นหลักฐานการจับกุมก็ตาม ,ผู้เรียกทรัพย์จะได้ไปจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
หรือผู้เรียกไม่ตั้งใจจะเอาทรัพย์ที่เรียกไปให้เจ้าพนักงานก็ครบองค์ประกอบความผิด
,แม้ขณะเรียกเจ้าพนักงานจะได้กระทำการตามหน้าที่ไปก่อนแล้ว
[2] การจูงใจต้องจูงใจเจ้าพนักงานโดยตรง ดังนี้
การจูงใจภริยาของเจ้าพนักงานไม่เป็นความผิดตาม ๑๔๓
[3] ในหน้าที่ หมายความว่า
ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยตรง ดังนั้น
การเรียกทรัพย์สินโดยอ้างว่าจะนำไปจูงใจเจ้าพนักงานให้เบิกความผิดจากความเป็นจริง
ไมผิด ๑๔๓(เพราะเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป
หาใช่เป็นหน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากการที่เป็นเจ้าพนักงานผู้จับกุมผู้กระทำความผิดไม่
หน้าที่เบิกความตามสัจจริงจึงไม่เป็นการกระทำการโดยหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ)เจ้าพนักงานจะต้องมีอำนาจหน้าที่กระทำการนั้นด้วย(ให้คุณให้โทษ)
ดังนั้น
การอ้างว่าจะนำเงินไปให้นายประกอบผู้ช่วยสรรพกรจังหวัดไม่ให้ไปตรวจสอบบัญชีแต่ข้อเท็จจริงนายประกอบเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ธุรการหน้าที่ตรวจสอบบัญชีหากใช่หน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องจากการเป็นผู้ช่วยสรรพกรจังหวัดของนายประกอบไม่การกระทำไม่เป็นความผิด,อ้างว่านำไปจูงใจผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
แม้ผู้พิพากษาที่อ้างถึงจะมิได้เป็นเจ้าของสำนวนหรือองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นก็เป็นความผิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น