วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ม.๑๔๓


มาตรา ๑๔๓  ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น [1]เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้[2]จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทำการ หรือไม่กระทำการ[3]ในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



[1] เพียงแต่เรียกก็ผิดแล้ว แม้ผู้ถูกเรียกจะไม่เชื่อหรือไม่มีเจตนาจะมอบเงินให้ แต่หลอกให้รับเงินไว้เพื่อเป็นหลักฐานการจับกุมก็ตาม ,ผู้เรียกทรัพย์จะได้ไปจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ก็ไม่สำคัญ หรือผู้เรียกไม่ตั้งใจจะเอาทรัพย์ที่เรียกไปให้เจ้าพนักงานก็ครบองค์ประกอบความผิด ,แม้ขณะเรียกเจ้าพนักงานจะได้กระทำการตามหน้าที่ไปก่อนแล้ว
[2] การจูงใจต้องจูงใจเจ้าพนักงานโดยตรง ดังนี้ การจูงใจภริยาของเจ้าพนักงานไม่เป็นความผิดตาม ๑๔๓
[3] ในหน้าที่ หมายความว่า  ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยตรง  ดังนั้น การเรียกทรัพย์สินโดยอ้างว่าจะนำไปจูงใจเจ้าพนักงานให้เบิกความผิดจากความเป็นจริง ไมผิด ๑๔๓(เพราะเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป หาใช่เป็นหน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากการที่เป็นเจ้าพนักงานผู้จับกุมผู้กระทำความผิดไม่ หน้าที่เบิกความตามสัจจริงจึงไม่เป็นการกระทำการโดยหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ)เจ้าพนักงานจะต้องมีอำนาจหน้าที่กระทำการนั้นด้วย(ให้คุณให้โทษ) ดังนั้น การอ้างว่าจะนำเงินไปให้นายประกอบผู้ช่วยสรรพกรจังหวัดไม่ให้ไปตรวจสอบบัญชีแต่ข้อเท็จจริงนายประกอบเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ธุรการหน้าที่ตรวจสอบบัญชีหากใช่หน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องจากการเป็นผู้ช่วยสรรพกรจังหวัดของนายประกอบไม่การกระทำไม่เป็นความผิด,อ้างว่านำไปจูงใจผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้ผู้พิพากษาที่อ้างถึงจะมิได้เป็นเจ้าของสำนวนหรือองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นก็เป็นความผิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น