วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ม.๓๓๗


[1]มาตรา ๓๓๗  ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่น[2]ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดย[3]ใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดย[4]ขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือ[5]ของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจ[6]ยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
(๑) ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ
(๒) มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท



[1] หลักความแตกต่างระหว่าง ชิงทรัพย์กับการกรรโชก  มีดังนี้ ๑.ชิงทรัพย์มีได้เฉพาะสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กรรโชกมีได้สังหาและอสังหา  ๒.กรรโชกมีเพียงเจตนาธรรมดา ขณะ ฐานชิงต้องมีเจตนาพิเศษ คือ เจตนาโดยทุจริต ๓.สำคัญมากคือ ถ้าบังคับให้ผู้ถูกข่มขืนใจส่งทรัพย์สินให้ในเวลาทันทีเป็นชิงทรัพย์ หากไม่ทันทีเป็นกรรโชก ๔.ฐานชิงต้องมีการส่งมอบการครอบครองทรัพย์แล้วจึงจะผิดสำเร็จ แต่ความผิดฐานกรรโชกเพียงแต่ยอมจะให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแม้จะยังไม่ส่งมอบก็ผิดสำเร็จ
[2] ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน กรณีถือว่าไม่ใช่ได้แก่  การขู่ให้คิดบัญชีการเงินที่จำเลยเข้าหุ้นทำการก่อสร้าง,กรณีใช่ การทำร้ายให้เสียหายให้ลงชื่ในสัญญากู้
[3] การใช้กำลังประทุษร้ายต้องเป็นการกระทำต่อร่างกาย  ดังนั้น การเข้าแย่งกรงนกผู้เสียหายสู้ไม่ได้จำเลยจึงเอานกเขาไปได้ ไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย ,
[4] การขู่เข็ญ  กรณีไม่เป็นการขู่เข็ญ  เช่นการทำนายว่ากำลังมีเคราะห์ให้สะเดาะเคราะห์โดยเสียค่าครู ,เดินเข้ามาในร้านของว่าเป็นพนักงานตำรวจ มาดูแลความเรียบร้อยต้องการเงิน ๕,๐๐๐ บาทเป็นค่าดูแล ผู้เสียหายรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงได้ไปโทรศัพท์หลังร้านแต่โทรไม่ติด จำเลยเดินออกจากร้านไป, หลัก หากเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมายไม่เป็นความผิดฐานกรรโชก  เช่น จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าผู้เสียหายหักสติกเกอร์ของห้างจำเลยไป จำเลยให้ชำระค่าปรับแก่ห้าง มิฉะนั้นจะส่งให้ตำรวจ เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินคณีกับผู้เสียหายในทางอาญาได้
[5] ถือว่าเป็นบุคคลที่สาม  เช่น เขียนจดหมายไปขู่เข็ญให้ผู้เสียหายส่งเงินไป ๓,๐๐๐ บาท มิฉะนั้นบุตรผู้เสียหายจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต แม้ได้ความว่าบุตรของผู้เสียหายจะบอกให้จำเลยเขียนไปขู่เข็ญโดยหลอกลวงให้บิดาส่งเงินมาให้ถือว่าผู้เสียหายถูกข่มขืนใจ เพราะในแง่ผู้เสียหายยังคงถือว่าบุตรผู้เสียหายเป็นบุคคลที่สาม
[6] คำว่า ยอมเช่นว่านั้น  ดังนั้นความผิดจะสำเร็จต้องได้ความว่าผู้เสียหายยอมจะให้ตามคำขู่ ดังนั้นไม่กลัวแต่ยอมมอบเงินให้เป็นแผนการจับกุมเป็นเพียงพยายาม  ,แต่หากตกลงยินยอมแล้วต่อมานำตำรวจมาจับกุมก็เป็นความผิดสำเร็จ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น