[1]มาตรา ๖๘ ผู้ใดจำต้องกระทำการใด[2]เพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
และเป็น[3]ภยันตรายที่ใกล้จะถึง
ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้นั้นไม่มีความผิด
[1] หลักมาตรา ๖๘
๑.มีภยันตราย หมายความว่าเป็นภัยที่เป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ
ชื่อเสียง ทรัพย์สินฯลฯ เป็นสิทธิของบุคคล
๒.เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
หมายความว่าผู้ก่อภยันตรายไม่มีอำนาจกระทำได้
๒.๑กรณีไม่มีอำนาจ แนวฎีกาสำคัญ
คือเจ้าพนักงานเข้าจับกุมโดยไม่มีหมายศาลและไม่เป็นความผิดซึ่งหน้า
,เข้าค้นโดยไม่มีหมายค้น
๒.๓กรณีถือว่ามีอำนาจ ได้แก่
พนักงานห้ามปรามคนทะเลาะวิวาท เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่
,พระภิกษุลงโทษลูกศิษย์ตามสมควร
๓.การละเมิดต่อกฎหมาย
ได้ทั้งการละเมิดกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งมีประเด็นน่าสนใจ คือ
ฆ่าภริยาและชายชู้
หากเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ(เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย)
หากเป็นภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการป้องกัน
แต่ถือว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรม
๔.การละเมิดกฎหมายอาญาอาจเป็นการกระทำโดยประมาทได้ เช่นทิ้งลูกไว้ในรถ
เด็กจะขาดอากาศหายใจ จึงทุบกระจกเข้าช่วยเด็ก
๕.การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ต้องเป็นการกระทำของบุคคล
สัตว์สิ่งของย่อมไม่อาจเป็นการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายได้
แต่จะอ้างป้องกันได้หากมีการใช้สัตว์เป็นเครื่องมือหรือสัตว์ก่อให้เกิดภยันตรายต่อบุคคลและสิ่งของ
๖.ผู้จะอ้างป้องกันได้ จะต้องไม่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตราย กรณีต่อไปนี้ถือว่ามีส่วนก่อ
๑.ผู้ที่ก่อภัยขึ้นในตอนแรก(ตีหัวเขาแล้ววิ่งหนีเขาไล่ตามไม่ขาดตอนยิงเขา)
๒.ผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาท(สมัครใจเข้าวิวาทหากขาดตอนไปแล้ว
ผู้รับภยันตรายอ้างป้องกันได้) ๓.ผู้ที่ยินยอมให้ผู้อื่นทำต่อตนเองด้วยใจสมัคร
๔.ผู้ที่ยั่วยุให้ผู้อื่นโกรธ
๗.ช่วงเวลาการใช้สิทธิป้องกัน “เริ่มตั้งแต่เมื่อภยันตรายนั้นใกล้จะถึง
รวมถึงตลอดเวลาที่ภยันตรายนั้นได้มาถึงตัวผู้รับภัย”
๘.การป้องกันภยันตรายไว้ล่วงหน้า เช่นการขึงลวดสายไฟฟ้ากันขโมย หลักสำคัญหากผู้ถูกไฟฟ้าซ๊อตไม่เป็นผู้กระทำผิด
(อ้างป้องกันไม่ได้)
,หากเป็นขโมยโดยไฟซ๊อตตายอ้างป้องกันได้ พอสมควรหรือไม่พิจารณาอีกครั้ง
๙.เพื่อป้องกันสิทธิ หมายความ กระทำโดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อป้องกันสิทธิ ซึ่งมูลเหตุจูงใจในทางยกเว้นความผิด
การกระทำโดยป้องกันต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา เช่น แดงจะยิงดำ
ขณะดำนำปืนมาทำความสะอาดปืนเกิดลั่นไปถูกแดงตายอ้างป้องกันไม่ได้
๑๐.การกระทำโดยป้องกันต้องเป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัย รวมถึง
กระทำต่อทรัพย์ซึ่งผู้ก่อภัยใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
๑๑.การป้องกันโดยพลาดก็มีได้
๑๒.การป้องกันสิทธิของตนเอง หรือของผู้อื่น
คำว่าของผู้อื่นผู้ป้องกันไม่ต้องมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษก็อ้างป้องกันได้
เช่นแดงจะยิงดำ ขาวยิงแดงเพื่อป้องกันดำ
แม้ขาวกับดำจะไม่มีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน
และหากดำไม่มีสิทธิป้องกันการกระทำของขาวก็อ้างป้องกันไม่ได้เช่นแดงวิวาทกับดำ
แต่ถ้าขาวไม่รู้ว่าแดงวิวาทกับดำก็อ้างป้องกันโดยสำคัญผิดได้
๑๓.การป้องกันพอสมควรแก่เหตุพิจารณาจาก
๑.ได้ป้องกันด้วยวิธีการที่น้อยที่สุดที่จำต้องกระทำ
๒.ผู้กระทำได้กระทำการป้องกันโดย ได้สัดส่วนกับภยันตราย
[2] การที่ผู้ตายพกอาวุธปืนมาร้องท้าทายให้จำเลยเอาอาวุธปืนมายิงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง
จึงนับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ๑๒๖๒/๒๕๕๓
,สามีเข้าช่วยภริยาที่ถูกทำร้ายเป็นป้องกัน ๔๒๔/๒๕๕๓
,แต่ต้องไม่ใช่การสมัครใจทะเลาะวิวาท ๑๔๐๒/๒๕๕๓ ,ผู้ตายทำร้าย ส. ล้มลง
จำเลยเข้าห้ามปรามผู้ตายใช้มีดแทงจำเลยถือว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่ใช้ด้ามพร้าตีเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ตายพยายามลุกจำเลยใช้เท้าเหยียบมือผู้ตายที่กำลังถือมีดอยู่แสดงว่าภยันตรายที่เกิดจากผู้ตายนั้นถูกจำเลยควบคุมมิให้เกิดความเสียหายได้อีก
ถือว่าภยันตรายที่เกดแก่จำเลยหมดไปแล้ว
ไม่จำต้องป้องกันอีกการที่ใช้มีดเชือดคอไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
๒๑/๒๕๕๓,การด่าว่าไม่ข้อความท้าทาย
การที่จำเลยทำร้ายก่อนย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
แต่การที่ผู้หญิงทำร้ายกันด้วยมือเปล่าแต่จำเลยใช้มีดแทง๕ทีเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ
๔๒๔/๒๕๕๓,การที่จำเลยถูกวิ่งไล่ทำร้ายภยันตรายยังไม่หมดไป จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกัน
แต่จำเลยมีอาวุธปืนที่ร้ายแรงกว่า จำเลยจึงอาจยิงขู่หรือเลือกยิงร่างกายส่วนที่สำคัญน้อยหรืออันตรายน้อยเพื่อยับยั้งแต่กลับยิงที่หน้าอกเป็นการเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำ
๕๕๔๔/๒๕๕๓,การป้องกันเป็นการกระทำโดยมีมูลเหตุจูงใจเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตราย
จึงต้องเป็นการกระทำโดยเจตนาไม่ใช่ประมาท,
[3] ผู้ครอบครองเคหสถานมีสิทธิป้องกันมิให้ใครเข้ามารุกรานทำร้ายแม้จะมีทางหนีแต่ไม่หนีก็อ้างป้องกันได้เพราะไม่มีความจำเป็นที่ผู้มีสิทธิครอบครองเคหสถานของตนโดยชอบจะต้องหนีผู้กระทำความผิดกฎหมาย
๑๖๙/๒๕๐๔ ,ผู้ตายนำอาวุธปืนมาวางขู่ไม่ให้จำเลยหนี้ ถือว่ายังไม่มีภยันตรายหรือเพียงแต่เกรงว่าจะชักปืนออกมายิง,การใช้คำหยาบไม่ถือว่าเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้าย
,ภยันตรายต้องยังมีอยู่และใกล้จะถึงดังนั้นหากภยันตรายผ่านพ้นไปแล้วอ้างป้องกันไม่ได้
เช่น ใช้มีดแทงแต่ได้ปัดตกไปแล้ว แต่อาจอ้างบันดาลโทสะได้,กรณีความผิดฐานลักทรัพย์แม้จำเลยจะลักทรัพย์สำเร็จเพราะทรัพย์เคลื่อนที่ไปก็ตาม
ถือว่าระหว่างคนร้ายพาทรัพย์หนีภยันตรายยังไม่ผ่านพ้น,การป้องกันไว้ล่วงหน้า
เช่น การขึงลวดปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ที่โรงเก็บของซึ่งมีสิทธิป้องกันได้
แต่ถ้าทรัพย์ที่ป้องกันมีราคาน้อย การใช้กระแสไฟฟ้าแรงเคลื่อนสูงถึง๒๒๐โวลท์
ถือเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ เช่นลักแตงโม ลักปลากัด
,การสมัครใจเข้าวิวามต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน
ไม่ใช่ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจอ้างสิทธิป้องกัน(มักจะมีการเริ่มด้วยทำนองท้าทายซึ่งกันและกัน)การสมัครใจต่อสู้หรือวิวาทกันต้องกระทำด้วยกำลังกายหรือมีการท้าทายให้การการต่อสู้ด้วยกำลังกาย
ถ้าเพียงโต้เถียงยังไม่ถือว่าสมัครใจเข้าวิวาท,เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันซึ่งยังไม่ขาดตอนไม่อาจอ้างป้องกันได้(เป็นเหตุพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวพันกัน)
,บิดา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น