วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ม.๖๘


[1]มาตรา ๖๘  ผู้ใดจำต้องกระทำการใด[2]เพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็น[3]ภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด



[1] หลักมาตรา ๖๘
     ๑.มีภยันตราย หมายความว่าเป็นภัยที่เป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง ทรัพย์สินฯลฯ เป็นสิทธิของบุคคล
     ๒.เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย หมายความว่าผู้ก่อภยันตรายไม่มีอำนาจกระทำได้
     ๒.๑กรณีไม่มีอำนาจ แนวฎีกาสำคัญ คือเจ้าพนักงานเข้าจับกุมโดยไม่มีหมายศาลและไม่เป็นความผิดซึ่งหน้า ,เข้าค้นโดยไม่มีหมายค้น
     ๒.๓กรณีถือว่ามีอำนาจ  ได้แก่ พนักงานห้ามปรามคนทะเลาะวิวาท เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ,พระภิกษุลงโทษลูกศิษย์ตามสมควร
     ๓.การละเมิดต่อกฎหมาย  ได้ทั้งการละเมิดกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งมีประเด็นน่าสนใจ คือ ฆ่าภริยาและชายชู้  หากเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ(เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย)  หากเป็นภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นการป้องกัน แต่ถือว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรม
     ๔.การละเมิดกฎหมายอาญาอาจเป็นการกระทำโดยประมาทได้ เช่นทิ้งลูกไว้ในรถ เด็กจะขาดอากาศหายใจ จึงทุบกระจกเข้าช่วยเด็ก
     ๕.การประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ต้องเป็นการกระทำของบุคคล สัตว์สิ่งของย่อมไม่อาจเป็นการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมายได้ แต่จะอ้างป้องกันได้หากมีการใช้สัตว์เป็นเครื่องมือหรือสัตว์ก่อให้เกิดภยันตรายต่อบุคคลและสิ่งของ
     ๖.ผู้จะอ้างป้องกันได้ จะต้องไม่มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตราย  กรณีต่อไปนี้ถือว่ามีส่วนก่อ ๑.ผู้ที่ก่อภัยขึ้นในตอนแรก(ตีหัวเขาแล้ววิ่งหนีเขาไล่ตามไม่ขาดตอนยิงเขา) ๒.ผู้ที่สมัครใจเข้าวิวาท(สมัครใจเข้าวิวาทหากขาดตอนไปแล้ว ผู้รับภยันตรายอ้างป้องกันได้) ๓.ผู้ที่ยินยอมให้ผู้อื่นทำต่อตนเองด้วยใจสมัคร ๔.ผู้ที่ยั่วยุให้ผู้อื่นโกรธ
     ๗.ช่วงเวลาการใช้สิทธิป้องกัน  เริ่มตั้งแต่เมื่อภยันตรายนั้นใกล้จะถึง  รวมถึงตลอดเวลาที่ภยันตรายนั้นได้มาถึงตัวผู้รับภัย
     ๘.การป้องกันภยันตรายไว้ล่วงหน้า เช่นการขึงลวดสายไฟฟ้ากันขโมย  หลักสำคัญหากผู้ถูกไฟฟ้าซ๊อตไม่เป็นผู้กระทำผิด (อ้างป้องกันไม่ได้)  ,หากเป็นขโมยโดยไฟซ๊อตตายอ้างป้องกันได้ พอสมควรหรือไม่พิจารณาอีกครั้ง
     ๙.เพื่อป้องกันสิทธิ หมายความ กระทำโดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อป้องกันสิทธิ  ซึ่งมูลเหตุจูงใจในทางยกเว้นความผิด การกระทำโดยป้องกันต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา เช่น แดงจะยิงดำ ขณะดำนำปืนมาทำความสะอาดปืนเกิดลั่นไปถูกแดงตายอ้างป้องกันไม่ได้
     ๑๐.การกระทำโดยป้องกันต้องเป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัย รวมถึง กระทำต่อทรัพย์ซึ่งผู้ก่อภัยใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
     ๑๑.การป้องกันโดยพลาดก็มีได้
     ๑๒.การป้องกันสิทธิของตนเอง หรือของผู้อื่น  คำว่าของผู้อื่นผู้ป้องกันไม่ต้องมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษก็อ้างป้องกันได้ เช่นแดงจะยิงดำ ขาวยิงแดงเพื่อป้องกันดำ แม้ขาวกับดำจะไม่มีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน  และหากดำไม่มีสิทธิป้องกันการกระทำของขาวก็อ้างป้องกันไม่ได้เช่นแดงวิวาทกับดำ แต่ถ้าขาวไม่รู้ว่าแดงวิวาทกับดำก็อ้างป้องกันโดยสำคัญผิดได้
     ๑๓.การป้องกันพอสมควรแก่เหตุพิจารณาจาก ๑.ได้ป้องกันด้วยวิธีการที่น้อยที่สุดที่จำต้องกระทำ ๒.ผู้กระทำได้กระทำการป้องกันโดย ได้สัดส่วนกับภยันตราย

[2] การที่ผู้ตายพกอาวุธปืนมาร้องท้าทายให้จำเลยเอาอาวุธปืนมายิงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง จึงนับว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ๑๒๖๒/๒๕๕๓ ,สามีเข้าช่วยภริยาที่ถูกทำร้ายเป็นป้องกัน ๔๒๔/๒๕๕๓ ,แต่ต้องไม่ใช่การสมัครใจทะเลาะวิวาท ๑๔๐๒/๒๕๕๓ ,ผู้ตายทำร้าย ส. ล้มลง จำเลยเข้าห้ามปรามผู้ตายใช้มีดแทงจำเลยถือว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่ใช้ด้ามพร้าตีเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ตายพยายามลุกจำเลยใช้เท้าเหยียบมือผู้ตายที่กำลังถือมีดอยู่แสดงว่าภยันตรายที่เกิดจากผู้ตายนั้นถูกจำเลยควบคุมมิให้เกิดความเสียหายได้อีก ถือว่าภยันตรายที่เกดแก่จำเลยหมดไปแล้ว ไม่จำต้องป้องกันอีกการที่ใช้มีดเชือดคอไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ๒๑/๒๕๕๓,การด่าว่าไม่ข้อความท้าทาย การที่จำเลยทำร้ายก่อนย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่ผู้หญิงทำร้ายกันด้วยมือเปล่าแต่จำเลยใช้มีดแทง๕ทีเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ ๔๒๔/๒๕๕๓,การที่จำเลยถูกวิ่งไล่ทำร้ายภยันตรายยังไม่หมดไป จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกัน แต่จำเลยมีอาวุธปืนที่ร้ายแรงกว่า จำเลยจึงอาจยิงขู่หรือเลือกยิงร่างกายส่วนที่สำคัญน้อยหรืออันตรายน้อยเพื่อยับยั้งแต่กลับยิงที่หน้าอกเป็นการเกินสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำ ๕๕๔๔/๒๕๕๓,การป้องกันเป็นการกระทำโดยมีมูลเหตุจูงใจเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตราย จึงต้องเป็นการกระทำโดยเจตนาไม่ใช่ประมาท,
[3] ผู้ครอบครองเคหสถานมีสิทธิป้องกันมิให้ใครเข้ามารุกรานทำร้ายแม้จะมีทางหนีแต่ไม่หนีก็อ้างป้องกันได้เพราะไม่มีความจำเป็นที่ผู้มีสิทธิครอบครองเคหสถานของตนโดยชอบจะต้องหนีผู้กระทำความผิดกฎหมาย ๑๖๙/๒๕๐๔ ,ผู้ตายนำอาวุธปืนมาวางขู่ไม่ให้จำเลยหนี้ ถือว่ายังไม่มีภยันตรายหรือเพียงแต่เกรงว่าจะชักปืนออกมายิง,การใช้คำหยาบไม่ถือว่าเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้าย ,ภยันตรายต้องยังมีอยู่และใกล้จะถึงดังนั้นหากภยันตรายผ่านพ้นไปแล้วอ้างป้องกันไม่ได้ เช่น ใช้มีดแทงแต่ได้ปัดตกไปแล้ว แต่อาจอ้างบันดาลโทสะได้,กรณีความผิดฐานลักทรัพย์แม้จำเลยจะลักทรัพย์สำเร็จเพราะทรัพย์เคลื่อนที่ไปก็ตาม ถือว่าระหว่างคนร้ายพาทรัพย์หนีภยันตรายยังไม่ผ่านพ้น,การป้องกันไว้ล่วงหน้า เช่น การขึงลวดปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ที่โรงเก็บของซึ่งมีสิทธิป้องกันได้ แต่ถ้าทรัพย์ที่ป้องกันมีราคาน้อย การใช้กระแสไฟฟ้าแรงเคลื่อนสูงถึง๒๒๐โวลท์ ถือเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ เช่นลักแตงโม ลักปลากัด ,การสมัครใจเข้าวิวามต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อาจอ้างสิทธิป้องกัน(มักจะมีการเริ่มด้วยทำนองท้าทายซึ่งกันและกัน)การสมัครใจต่อสู้หรือวิวาทกันต้องกระทำด้วยกำลังกายหรือมีการท้าทายให้การการต่อสู้ด้วยกำลังกาย ถ้าเพียงโต้เถียงยังไม่ถือว่าสมัครใจเข้าวิวาท,เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการสมัครใจทำร้ายกันซึ่งยังไม่ขาดตอนไม่อาจอ้างป้องกันได้(เป็นเหตุพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวพันกัน) ,บิดา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น