วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ม.๓๖๒-๓๖๖


หมวด ๘
ความผิดฐานบุกรุก
                       

มาตรา ๓๖๒  ผู้ใด[1]เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๓  ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ยักย้ายหรือทำลาย[2]เครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๔  ผู้ใดโดย[3]ไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ใน[4]เคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้นเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๕  [5]ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา  ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓ หรือมาตรา ๓๖๔ ได้กระทำ
(๑) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ
(๓) [6]ในเวลากลางคืน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๖  ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา ๓๖๕ เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] ต้องมีการเข้าไป ดังนั้น การที่จำเลยเพียงแต่ใช้ขวดขว้างและใช้มีดฟันห้องพัก และเรียกผู้เสียหายออกมาพูดคุยและขู่ฆ่า โดยจำเลยไม่เข้าไปในห้องพักไม่ผิดบุกรุก,แต่การที่จำเลยเอื้อมมือเข้าไปในบริเวณบ้านผู้เสียหายเพื่อจับผู้เสียหายกระชากออกไปถือว่าเข้าไปแล้ว,การที่จำเลยนำไม้ไปปิดหรือใส่กุญแจประตูทางเข้าออกจากอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้ครอบครองเข้าออกอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้ เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ผู้อื่นแล้วกรณีเป็นฎีกาเกี่ยวกับผู้ให้เช่ากับผู้เช่า แม้จะเป็นเจ้าของและผู้เช่าผิดสัญญาเช่าการที่ผู้ให้เช่าไปปิดประตูเป็นบุกรุก,แม้จะมีคำพิพากษาศาลหากผู้เช่ายังไม่ทราบคำสั่งก็ผิด,(ผู้เช่ายังมีสิทธิครอบครองอยู่),ตามสัญญาเช่ามีข้อตกลงหากผู้เช่าผิดสัญญาให้ผู้ให้เช่าเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าได้ การที่ผู้ให้เช่าปิดล๊อคกุญแจอาคารที่เช่าเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าใจว่าตนมีอำนาจทำได้ตามาสัญญาเป็นการกระทำโดยขาดเจตนา(ข้อตกลงมิใช่ปัญหาความสงบและและมิใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม,กรณีเข้าไปในบ้านของผู้อื่น แต่เจ้าของบ้านเห็นเสียก่อนจำเลยจึงวิ่งหนีออกไปไม่เป็นการรบกวนหรือขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อสำรวจทรัพย์สินยังไม่เป็นการรบกวน ไม่ผิด๓๖๒ แต่ผิด ๓๖๔,การเข้าไปรบกวนเช่น เข้าไปขับไล่บริวารออกไป ดังนั้นการเข้าไปหาเรื่องชวนทะเลอะวิวาทและทำร้ายที่อยู่ในเคหสถาน ไม่ถือว่าเป็นการรบกวน แต่เป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร,การครอบครองที่ดินมือเปล่าหลังจากสิทธิเรียกร้องเอาคืนภายใน ๑ ปีสิ้นสุดลงไม่ผิด ๒๑๓๗/๓๐,บทบัญญัติ ๓๖๒,๓๖๔ มุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่บุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น ไม่รวมที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน(ผิดตามป.ที่ดิน ๙ ๑๐๘(ทวิ))๕๖๑๖/๓๙,กรณีมีผู้เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน(เขตป่าสงวนแห่งชาติ) ซึ่งในนระหว่างราษฎรด้วยกันเอง ถือว่าผู้ครอบครองเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าผู้อื่น แต่ใช้ยันรัฐไม่ได้ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นแม้มีผู้อื่นเข้าไปไม่ผิดบุกรุก,ในกรณีโจทก์กับจำเลยยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดิน การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินเป็นเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทถือว่าไม่มีเจตนาบุกรุก มูลกรณีเป็นความรับผิดทางแพ่งไม่มีความผิดฐานบุกรุก(ไม่ผิดทำให้เสียทรัพย์ด้วย)
[2] ถอนหลักที่จ่าศาล ปักไว้ในการรังวัดทำแผนที่ไม่ผิด ๓๖๓ เพราะ มิใช่เป็นการยักยอกหรือทำลายหลักเขตที่แสดงสิทธิแห่งอสังหาฯโดยแท้จริง
[3] กรณีถือว่ามีเหตุอันสมควร ได้แก่ จำเลยเช่าเล้าเป็ดพ่อจำเลยอยู่จำเลยเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้ง วันเกิดเหตุเข้าไปกระทำชำเราโดยผู้เสียหายยินยอม, ผู้เสียหายและจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวในวันเกิดเหตุมาบ้านผู้เสียหายและกอดรัดผู้เสียหาย ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แม้ผู้เสียหายจะปฏิเสธและจำเลยไม่เลิกรา ก็น่าจะเป็นเพราะต้องการแสดงความรักต่อผู้เสียหาย ขาดเจตนาบุกรุก , จำเลยเข้าไปในบ้านผู้อื่นโดยบุตรสาวเจ้าของบ้านชวนหรือนัดเข้าไป แม้ผู้เสียหาย(บิดา)จะมิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไป ก็มิใช่เป็นการเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งมิใช่เป็นการกระทำใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาฯของผู้เสียหายโดยปกติสุขตาม ป.อ.ม.๓๖๒,๓๖๔ จำเลยไม่มีความผิด, เข้าไปตามเมีย , เข้าไปทวงค่าแรง,เข้าไปโดยได้รับความยินยอม(ไม่อาจถือว่าไม่มีเหตุอันสมควร) เช่นอนุญาตเข้าไปค้น ,อนุญาตเข้าไปดูโทรทัศน์,แต่ถ้าห้องดูโทรทัศน์เป็นห้องแยกไปห้องนอนผิดบุกรุก,เข้าไปโดยถือวิสาสะไม่ผิด
[4] เคหสถาน ๑(๔)ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยเช่น เรือน และให้หมายความรวมถึง บริเวณที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ การที่จำเลยเข้ามาที่สนามหญ้าหน้าบ้านพักถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานแล้ว
[5] ความผิดตาม ๓๖๕ มิได้บัญญัติความผิดชัดแจ้งอยู่ในตัว ดังนั้น ในการปรับบทจะต้องปรับบทมาตรา ๓๒๖หรือ ๓๖๔ ประกอบด้วย
[6] สาระสำคัญของความผิดฐานบุกรุก คือการเข้าไปในอสังหาฯหรือเคหสถาน ความผิดจึงเกิดขึ้นสำเร็จตั้งแต่จำเลยเข้าไป ส่วนการที่ครอบครองต่อมาก็เป็นผลของการบุกรุกไม่ใช่ความผิดต่อเนื่อง ดังนั้นหากตอนแรกที่จำเลยบุกรุกเป็นเวลากลางวัน แม้จำเลยจะครอบครองในเวลากลางคืนด้วยก็ไม่เป็นความผิด,ความผิดฐานบุกรุกม.๓๖๒ มีสองตอนได้แก่ ตอนหนึ่งเข้าไปเพื่อถือการครอบครอง อีกตอนหนึ่งคือเข้าไปทำการรบกวนการครอบครอง เมื่อเข้าไปขั้นตอนแรกยุติลงการกระทำหลังก็ไม่เป็นความผิดต่อเนื่องติดต่อเกิดขึ้นตลอดเวลา ผลไม่ผิดเวลากลางคืน อายุความจึงเริ่มนับแต่ครั้งแรกที่เข้าไป

ม.๓๕๘-๓๖๑


หมวด ๗
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
                       

มาตรา ๓๕๘  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือ[1]ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๙  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๕๘ ได้กระทำต่อ
(๑) เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกสิกรรมหรืออุตสาหกรรม
(๒) [2]ปศุสัตว์
(๓) ยวดยานหรือสัตว์พาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณหรือในการประกอบ
กสิกรรมหรืออุตสาหกรรม หรือ
(๔) [3]พืชหรือพืชผลของกสิกร
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๐  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ [4]ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๐ ทวิ  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ประดิษฐานอยู่ในสถานที่ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๑  ความผิดตามมาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๓๕๙ เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] ทำให้ไร้ประโยชน์ คือ ทำให้ประโยชน์ของทรัพย์หมดไป แม้จะเป็นการชั่วคราวเป็นเรื่องของการมุ่งการพิจารณาถึงตัวทรัพย์ไม่ใช่ประโยชน์ผู้ใช้สอย  กรณีถือว่าทำให้ไร้ประโยชน์ ได้แก่ ทำให้ผู้อื่นใช้ทางเท้าไม่ได้ ,ใช้เสาคอนกรีตปักปิดขวางปากคลองทำให้ประชาชนทั่วไปสัญจรไม่ได้ ,ขุดหน้าดินโจทก์ร่วมไป กรณีไม่ใช่ เช่นการนำรั้วมาล้อมบ่อน้ำสาธารณะประชาชนเข้าใช้บ่อน้ำไม่ได้ ,บ่อน้ำคงมีสภาพตามเดิม ไม่ได้ถูกทำให้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด ,ยึดครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์,หรือมีอำนาจทำได้ก็ไม่ผิดเช่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรื้อถอนอาคารตาม พรบ.ควบคุมการก่อสร้าง ,พนักงานป่าไม้บอกให้รถบรรทุกผิดกฎหมายหยุด เมื่อไม่หยุดได้ยิงยางล้อรถแตก ,ฎ ๙๐๙๓/๔๔
[2] ปศุสัตว์ หมายถึง สัตว์สี่เท้าที่เลี้ยงเพื่อใช้เป็นอาหาร เช่น หมู
[3] เช่น ข้าว,ต้นกล้วย ,ต้นยาง กรณีไม่ใช่ ได้แก่ ต้นมะพร้าวที่ปลูกอยู่ในเขตที่ดินในแนวสวนและไม่ปรากฎว่าผู้เสียหายมีอาชีพอะไรไม่ผิด
[4] ม.๓๖๐ เป็นบทบัญญัติเอกเทศสัญญา แยกไปจากม.๓๕๘ ไม่ใช่บทเพิ่มโทษ กรณีที่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ได้แก่ ราษฎรในหมู่บ้านได้ทำถนนขึ้นเป็นถนนสาธารณะ เพื่อให้ราษฎรใช้สัญจร,ขุดหลุมปักเสาในถนนอันเป็นทางสาธารณะ ,จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองคลองสาธารณะ ,โทรศัพท์สาธารณะ๑๑๗๕/๒๖ ,ป้ายบอกชื่อหนองน้ำ ๑๑๙๖/๑๘ กรณีไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น สถานีตำรวจเป็นทรัพย์สินประเภทที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์  ,การเข้าไปในคลองสาธารณประโยชน์ พรวนดินและปลูกมะพร้าวไม่เป็นการทำให้เสียทรัพย์,

ม.๓๕๗


หมวด ๖
ความผิดฐานรับของโจร
                       

มาตรา ๓๕๗  [1]ผู้ใดช่วย[2]ซ่อนเร้น ช่วย[3]จำหน่าย ช่วย[4]พาเอาไปเสีย [5]ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำเพื่อค้ากำไรหรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ (๑๐) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ การชิงทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๙ ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา ๓๔๐ ทวิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท



[1] ผู้ใด  ความผิดฐานรับของโจรต้อง กระทำโดยบุคคลที่ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดในการได้ทรัพย์มา เช่น ผู้ร่วมฉ้อโกง
[2] ซ่อนเร้น หมายถึง การปกปิดไม่ให้พบเห็นหรือพบเห็นได้ยากขึ้น การอำพรางดัดแปลงทรัพย์เป็นการซ่อนเร้นได้ เช่น การช่วยฆ่ากระบือที่ลักมาแล้วนำไปขาย
[3] ช่วยจำหน่าย  หมายถึง การให้ทรัพย์พ้นจากผู้ได้ทรัพย์มาโดยการส่งมอบต่อไปไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่และไม่ว่าจะรวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์ เช่นการติดต่อเรียกและรับค่าไถ่ทรัพย์
[4] หมายความว่าทำให้ทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิม พ้นไปจากความยึดถือครอบครองเดิม
[5] ซื้อ หมายความว่า  รับทรัพย์ที่เป็นของโจร  โดยมีค่าตอบแทน

ม.๓๕๒-๓๕๖


หมวด ๕
ความผิดฐานยักยอก
                       

มาตรา ๓๕๒  ผู้ใด[1]ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย [2]เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง

มาตรา ๓๕๓  ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๔  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๕๒ หรือมาตรา ๓๕๓ ได้กระทำในฐานที่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งของศาล หรือตามพินัยกรรม หรือในฐานเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๕  ผู้ใดเก็บได้ซึ่งสังหาริมทรัพย์อันมีค่า อันซ่อนหรือฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๖  ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] หลัก ความผิดฐานหลักทรัพย์กับความผิดฐานยักยอก ข้อแตกต่างที่สำคัญ คือทรัพย์อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิดหรือไม่ ถ้าความครอบครองอยู่ที่ผู้กระทำความผิด เป็นได้แต่เฉพาะความผิดฐานยักยอก,กรณีถือว่า เป็นการครอบครอง ได้แก่ เจ้าอาวาสวัดเป็นผู้ครอบครอง ศาสนสมบัติ ,รับราชการห่างไกลมอบให้คนอื่นดูแลกระบือแทน ,ผู้เช่าบ้านดูแลรักษาทรัพย์ในบ้านแทนผู้ให้เช่า ,ซื้อที่ดินให้จำเลยลงชื่อรับโอนแทน โดยไม่เคยเข้าครอบครองทรัพย์ แม้จำเลยจะโอนให้คนอื่นก็ไม่เป็นความผิด ๖๐๑๑/๓๑ ,การมอบทรัพย์สินให้ไปขายถือว่าได้มอบการครอบครองแล้ว เช่น มอบทรัพย์ให้ไปขายโดยกำหนดราคาขายให้ แล้วนำไปขายต่ำกว่าราคาที่กำหนด และไม่ยอมชำระเงินผิดยักยอก ,ความผิดฐานยักยอกมิใช่ความผิดเฉพาะตัวของผู้ครอบครองทรัพย์เท่านั้น บุคคลอื่นอาจร่วมกระทำความผิดกับผู้ครอบครองได้ ข้อที่ว่าผู้ใดครอบครองทรัพย์ มิใช่คุณสมบัติเฉพาะตัวของผู้กระทำ(แต่ตามม.๓๕๔ เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว)
[2] การเบียดบังมีความหมายว่า  ต้องเป็นการเอาไปในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์  ดังนั้นหากจำเลยยึดหน่วงทรัพย์สินไว้เพื่อต่อรองค่าเสียหายไม่เป็นความผิด เช่น ผู้เสียหายนำพระมามอบให้ทำกรอบทอง แต่จำเลยทำเศียรพระบิ่นตกลงใช้ค่าเสียหายโดยนำพระมาทำกรอบทองอีก ๒ องค์ จำเลยคืนพระไป ๑ องค์เหลืออีก ๑ องค์เห็นว่าค่าเสียหายสูงเกินต้องการตกลงกันใหม่ ไม่มีเจตนาเบียดบัง ๕๗๒/๔๗

ม.๓๔๙-๓๕๑


หมวด ๔
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
                       

มาตรา ๓๔๙  ผู้ใด[1]เอาไปเสีย ทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์อันตนจำนำไว้แก่ผู้อื่น ถ้าได้กระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้รับจำนำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๐  [2]ผู้ใด [3]เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน [4]ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือ[5]โอนไปให้แก่ผู้อื่น[6]ซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๑  ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] เอาไปเสีย หมายความว่าพาเอาทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหาย ไม่จำต้องถึงเอาไปในลักษณะตัดกรรมสิทธิ์
[2] ผู้กระทำความผิด ไม่จำต้องเป็นตัวลูกหนี้เท่านั้น  ดังนั้นแม้กระทำต่อเจ้าหนี้ของผู้อื่นก็เป็นความผิดได้ เช่น ศาลพิพากษาให้โอนที่ดิน แต่ไปแกล้งทำการโอนให้ผู้อื่น ผู้รับโอนผิดฐานเป็นตัวการได้ ๑๔๓/๑๗
[3]เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ ต้องเป็นเจตนาพิเศษ  ประเด็น หลังจากจำเลยตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว   จำเลยไปทำสัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ พ. ในภายหลังเพราะจำเลยและสามีถูกฟ้องให้ชำระหนี้ แม้ธนาคารจะฟ้องคดีซึ่งเป็นหนี้เกิดก่อนของโจทก์ แม้ธนาคารจะฟ้องภายหลังแต่หนี้เกิดกับธนาคารเป็นหนี้ที่เกิดก่อนและมิได้เกิดจากความสมยอมกันไม่ผิด ฎ ๔๑๘๓/๔๒
[4] คำว่า ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล หมายความว่า  ต้องมีหนี้อันสมบูรณ์ ที่อาจจะให้สิทธิเรียกร้องทางศาลอยู่ในขณะที่กระทำความผิด  ดังนั้น กู้วงเงินเกิน ๒,๐๐๐ ยาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือต้องห้ามไม่ให้ฟ้องร้องบังคับคดี ตาม ปพพ. ม.๖๕๓  ฉะนั้นจึงไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้, เป็นหนี้จำนองแล้วนำที่ดินไปขายฝาก ไม่ผิด เพราะ การจำนองย่อมติดไปกับการขายฝาก ,ทั้งต้องปรากฎข้อเท็จจริงว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิทางศาล
[5] โอนให้ผู้อื่น หมายถึง โอนกรรมสิทธิ์  ดังนั้นการจดทะเบียนให้เช่าไม่เป็นการย้ายไปเสียหรือเป็นการโอนไม่ผิด ๘๗๐/๑๘,
[6] คำว่าทรัพย์ หมายถึงทรัพย์สินด้วย เช่น การโอนสิทธิการเช่าที่สามารถโอนขายเป็นเงิน ไปเพื่อไม่ให้บังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ก็เป็นความผิด ๒๕๒/๓๗ ,หรือโอนสิทธิการเช่าอาคาร ๒๘๒๘๑๓๑,เอาที่ดินไปขายฝากแล้วไม่ไถ่คืน๓๙๘๘/๒๖,ยักยอกอสังหาริมทรัพย์ก็มีได้ เช่น โจทก์ชื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดจำเลยเองอาศัยอยู่บ้านเลขที่ ๓๐๘ ถือว่าจำเลยครอบครองบ้านดังกล่าว การที่จำเลยบอกโจทก์ร่วมว่าบ้านที่ตนอยู่ไม่ใช่บ้านเลขที่ ๓๐๘ เพื่อจำเลยจะได้รับประโยชน์ ถือว่าเบียดบัง แต่หากจำเลยไม่ได้ครอบครองเช่น มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทนไถ่จำนองแล้วนำไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมไม่ผิดมาตรานี้ เพราะถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองทรัพย์

ม.๓๔๑-๓๔๘


[1]มาตรา ๓๔๑  ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ[2]แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ[3]ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น[4]ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม [5]ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๒  ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ
(๑) [6]แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
(๒) อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๓  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ[7]ต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๓๔๒ อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท

มาตรา ๓๔๔  ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวง[8]บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใดๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๕  ผู้ใด[9]สั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือเข้าอยู่ในโรงแรม โดยรู้ว่าตนไม่สามารถชำระเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม หรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๖  ผู้ใดเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอ หรือเป็นเด็กเบาปัญญา และไม่สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสารสำคัญแห่งการกระทำของตน จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๗  ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันวินาศภัย แกล้งทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๔๘  ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา ๓๔๓ เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] ความแตกต่างระหว่างลักทรัพย์กับฉ้อโกง ได้แก่ การใช้อุบายหลอกลวงให้ผู้อื่นส่งมอบการยึดถือ เป็นเรื่องลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย แต่การฉ้อโกง เป็นการหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ แต่ลักทรัพย์เป็นเรื่องการแย่งการครอบครอง เช่น ไปที่ห้างนำเหล้าใส่กล่องน้ำปลา ไปจ่ายเงินค่าน้ำปลา เป็นลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายเพราะเป็นการใช้อุบายให้ผู้อื่นส่งมอบการยึดถือ แต่หากนำบาร์โค้ดมาติดสลับราคา เป็นฉ้อโกง เพราะเป็นการหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ (ง่าย ๆ เจ้าของหรือผู้ครอบครองเต็มใจส่งมอบทรัพย์นั้นโดยเต็มใจเพราะเชื่อหรือไม่ หากใช่เป็นฉ้อโกง หากไม่ใช่เป็นลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย) ตัวอย่างการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย เช่น ขอทดลองม้าเจ้าของยังไม่ทันอนุญาตก็ส่งบังเหียนให้เพื่อนขี่ม้าหนีไป ,เรียกเอาเงินทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลแล้วเอาไป เป็นลักทรัพย์เพราะผู้เสียหายเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ,ขณะเติมน้ำมันไม่ได้ดับเครื่อง ฝาปิดน้ำมันไม่มี เป็นเจตนาทุจริตมาแต่ต้นที่จะลักทรัพย์ , ตัวอย่างฉ้อโกง ขี่จักรยานมาเติมน้ำมัน เมื่อเติมเสร็จผู้เสียหายทวงเงินก็นำลูกกลม ๆ ออกมาถือคล้ายลูกระเบิดบอกว่าไม่มีเงินให้นี่เอาไหม แล้วก็ขี่จักรยานยนต์หนีไป ,หลอกนายสถานีรถไฟว่าเป็นนายบ. เจ้าของพันธ์ไม้ นายสถานีเชื่อส่งมอบให้ไปเป็นฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ,
[2] การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ  ต้องเป็นข้อเท็จจริงในอดีต หรือในปัจจุบัน ถ้าเป็นการให้คำมั่นหรือกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตแล้วไม่ผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งแนวฎีกาจะมีปัญหาการตีความว่าเป็นสัญญาทางแพ่ง เช่น อ้างว่าจะนำเงินที่ได้ไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจ โดยไม่ได้นำไปซื้อและไม่คืน๗๐๗/๑๖ ,ยืมเงินโดยนำเช็คลงวันที่ล่วงหน้ามาค้ำ ๑๑๕๓/๑๑ ,ตกลงขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและผู้เสียหายวางเงินมัดจำไว้ ต่อมาไม่ขายไม่คืนเงิน๓๗๘๔/๓๒ ,กรณีตีความว่าเป็นฉ้อโกง เช่น จำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและส่งมอบสินค้า และวันเดียวกันได้ออกเช็คค่าสินค้าที่หลอกลวง(ต่างจากฎีกาข้างต้นว่าจ่ายเช็คล่วงหน้า) ,ทำทีเข้าไปซื้อสบู่ส่งเงินให้ ๑๐๐ บาท ต่อมาบอกไม่เอาสบู่แล้วขอเงินคืน โดยส่งคืนสบู่และเงินทอนไม่ครบ ๑๕๑๔/๐๘ ,ชักชวนไปทำงานต่างประเทศแล้วไม่ส่งไป ,ให้ผู้เสียหายติดต่อซื้อโคมาให้และจะนำค่าโคและนายหน้ามาจ่าย เมื่อถูกจับให้การว่าชำระเงินแล้ว ผิดฉ้อโกง ,
[3] ปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง เช่น หลอกว่าส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศได้ โดยที่จำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจัดหางาน ,
[4] ต้องเป็นการได้ไปซึ่งทรัพย์สิน กรณีไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ได้แก่ เอาพ่อเข้าสมัครเป็นสมาชิกฌาปนกิจ อ้างว่านายเอเป็นนายบีบิดาจำเลย เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ที่จริงแล้วป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ การหลอกลวงมีผลให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาทำให้ได้รับทรัพย์สินไปจากผู้เสียหาย แม้ต่อมามีการจ่ายเงินสงเคราะห์ไปเนื่องจากนายเอตาย หาใช่เรื่องจากการหลอกลวงไม่ ๓๖๖๗/๒๖ , หลอกว่ารถจำเลยขัดข้อง ว่าจ้างรถผู้เสียหายไปส่ง ผู้เสียหายหลงเชื่อ ได้รับผลเพียงการขนส่งไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ,จอดรถโดยไม่เสียค่าจอดไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ,(ต้องเป็นการหลอกไปจากเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่) ความผิดฐานฉ้อโกงไม่ได้จำกัดว่าผู้ที่ถูกหลอกลวงต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ แม้เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ใครหลอกลวงให้ส่งทรัพย์ก็ผิด ๒๗๐๕/๔๓ ,หลัก  ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผิดที่ต้องการผล หากไม่เกิดผลเป็นพยายามเช่น หลอกว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลสั่งนมให้นำไปส่งรพ.ศิริราชส่วนหนึ่ง อีกส่วนไปส่งที่ท่าช้าง ได้โทรไปถามผู้อำนวยการได้รับแจ้งว่าไม่ได้สั่งซื้อ ได้แจ้งให้ตำรวจจับโดยให้คนของบริษัทไปส่งตามที่กำหนดแล้วตำรวจเข้าจับ เป็นพยายาม เพราะการส่งมอบมิได้เกิดผลจากการหลอกแต่เป็นเพียงอุบายเพื่อหลอกจับ
[5] ทำถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ เช่น นำโฉนดที่ได้รับการเพิกถอนแล้วให้ยึดถือประกัน เมื่อหนี้ถึงกำหนดเสนอโฉนดที่ดินดังกล่าวชำระแทนเงินกู้ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายคืนสัญญากู้ ,หลอกลวงพนักงานโจทก์ว่าได้ขอไถ่ถอนจำนองแล้ว พนักงานได้ออกเอกสารปลดจำนอง ,ปลอมตั๋วเครื่องบิน มอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว นำไปขึ้นเครื่องบิน ๑๕๐๘/๓๘
[6] แสดงตนเป็นบุคคลอื่น หมายถึง เป็นคนอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแต่หลอกลวงหรือทำให้ผู้อื่นเข้าใจฐานะของตนผิดไปเท่านั้น และอ้างบุคคลที่ไม่มีตัวตนก็ผิดได้ เช่นอ้างว่าเป็นร้อยตำรวจ จ.ประจำกองสอบสวนกลางปทุมวัน แม่ความจริงไม่มีร้อยตำรวจ จ.ก็ผิดแล้ว
[7] ประชาชน หมายถึง บรรดาพลเมืองซึ่งมีความหมายถึงชาวเมืองทั้งหลาย ๗๐๙/๒๓ กรณีถือว่าไม่เป็นประชาชน เช่น หลอกนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง อ้างว่าเป็นข้อสอบที่จะออกจริง กรณีถือว่าเป็นประชาชน เช่น จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์ให้สมัครงาน
[8] บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป หมายถึง เจตนาหลอกลวงให้ได้ถึง ๑๐ คน มาตั้งแต่แรก และการหลอกลวงได้มาทำงานที่ละคนสองคน ถึงแม้คนที่ถูกหลอกมาตั้งแต่แรกเลิกทำงานไปเสียก่อนจะครบ ๑๐ คนถ้าได้มาครบ ๑๐ คนแล้วแม้จะไม่ใช่ในขณะเดียวกันหรือพร้อมกันก็ยังเป็นความผิดตามมาตรานี้
[9] การสั่งซื้อและบริโภค หมายถึง การสั่งซื้อและบริโภคอาหารซึ่งเป็นการกระทำต่อเนื่องในเวลานั้น ,ดังนั้นหากสั่งอาหารล่วงหน้าหลายวัน หรือนำสินค้ามากินบ้านและจะจ่ายภายหลังไม่ผิดมาตรานี้แต่ผิดสัญญาทางแพ่ง อ้างฎีกาที่ ๑๖๘๖/๕๐ ,๑๐๗๗/๑๑

ม.๓๔๐ ตรี

มาตรา ๓๔๐ ตรี  ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๓๓๙ มาตรา ๓๓๙ ทวิ มาตรา ๓๔๐ หรือมาตรา ๓๔๐ ทวิ โดยแต่งเครื่องแบบทหารหรือตำรวจหรือแต่งกายให้เข้าใจว่าเป็นทหารหรือตำรวจ หรือ[1]โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือ[2]โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ กึ่งหนึ่ง



[1] โดยมีหรือใช้อาวุธ   เจตนารมณ์ของป.อ. ม.๓๔๐ตรี มุ่งหมายที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดให้หนักขึ้นเฉพาะผู้ที่มีเฉพาะผู้ที่ใช้อาวุธปืนในการปล้นทรัพย์ เท่านั้น มิใช่ผู้ที่ร่วมกระทำการปล้นทรัพย์รายเดียวกันจะต้องระวางโทษหนักขึ้นทุกคน(ต่างจาก ม.๓๔๐ วรรคสี่ที่ต้องผิดกันทุกคน) ฎ ๖๕๙๐/๒๕๔๔  ,ปืนไฟแซ็กที่จำเลยได้ใช้จี้ผู้เสียหายนั้นเป็นสิ่งเทียมอาวุธ มิใช่อาวุธปืนไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามม.๓๔๐ตรี
[2] ม.๓๔๐ตรีเป็นบทลงโทษผู้กระทำความผิดตามม.๓๓๙,๓๓๙ทวิ ,๓๔๐ หรือ๓๔๐ ทวิหนักขึ้น จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด หมายความว่าเฉพาะผู้ที่กระทำความผิดตามม.๓๔๐ ตรีเท่านั้นการที่พวกจำเลยกระทำความผิดโดยใช้จักรยานยนต์แต่จำเลยไม่ได้ใช้ จำเลยจึงไม่ผิด ม.๓๔๐ตรี

ม.๓๔๐


มาตรา ๓๔๐  ผู้ใดชิงทรัพย์โดย[1]ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
ถ้าในการปล้นทรัพย์ ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใด[2]มีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นสี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ถ้าการปล้นทรัพย์ได้กระทำโดยแสดงความทารุณจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ [3]ใช้ปืนยิง ใช้วัตถุระเบิด หรือกระทำทรมาน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ถ้าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต



[1] ร่วมกันกระทำความผิดหมายความว่า เป็นตัวการมีการร่วมกายและร่วมใจ
[2] ผู้กระทำคนใดคนหนึ่งมีอาวุธติดตัวไปด้วย แม้ผู้ร่วมกระทำความผิดจะไม่รู้ว่าอีกคนมีอาวุธก็มีความผิดด้วย ฎ ๘๙๐/๑๙
[3] ใช้ปืนยิง หลักเมื่อผู้กระทำความผิดคนใดใช้ปืนยิง ในการปล้นทรัพย์ ถือว่าผู้กระทำความผิดที่ไม่มีอาวุธปืนหรือไม่ได้ยิงอาวุธปืนยิงตาม ป.อ.๓๔๐ ว.๔ ด้วย (ฎ ๓๖๒๐/๓๘) , เช่นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงสุนัขเพราะสุนัขจะกัด ขณะที่คนร้ายคนอื่นกำลังค้นหาทรัพย์ถือได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์ได้ใช้ปืนยิง ผิดม.๓๔๐ วรรคสี่ ,ปล้นทรัพย์เสร็จพอลงจากเรือนเจ้าทรัพย์ร้องว่าพี่น้องโว้ยอย่าพากันออกมาจะตาย พอห่างไปประมาณ ๑ เส้นได้ใช้ปืนยิงคนละนัดแล้วร้องว่าใครอย่าเข้ามา ถือว่าการปล้นยังไม่ขาดตอน ๑๓๙๐/๐๙

ม.๓๓๙


มาตรา ๓๓๙  ผู้ใดลักทรัพย์[1]โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า[2]ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(๑) [3]ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(๒) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(๓) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(๔) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ
(๕) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดแห่งมาตรา ๓๓๕ หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต



[1] โดยใช้กำลังประทุษร้าย ต้องเป็นการประทุษร้ายต่อบุคคลอื่น มิใช่ต่อคนร้ายผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ๕๗๖๘/๔๔
[2]ในทันใด   การทำร้ายหรือขู่ว่าจะทำร้ายต้องยังไม่ขาดตอนจากการลักทรัพย์  ถือว่ายังไม่ขาดตอน ได้แก่ ผู้เสียหายเห็นจำเลยกำลังลักมะม่วง ตอนแรกหนีไปแต่กลับมาพร้อมกับไม้ไผ่ตรงเข้าจะตีผู้เสียหาย แต่ในทันทีนั้นได้พูดว่า วางเมียผมลงเดี๋ยวนี้ หาไม่วางจะตีผู้เสียหายให้ตาย
[3] เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ได้แก่ กระชากสร้อยและยิงปืนเพื่อมิให้ตำรวจที่พบเหตุไล่ติดตาม ,คนหนึ่งลักปากกาอีกคนเดินชนให้ผู้เสียหายเซล้มไป ,ผู้เสียหายรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋ง จำเลยทั้งสองแกล้งทำช่วยเหลือ ใช้อุบายไปส่งบ้าน ขณะจำเลยที่ ๒ ขับรถผู้เสียหายลับสายตา ผู้เสียหายให้จำเลยที่ ๑ หยุดรถเพื่อแจ้งศูนย์วิทยุ จำเลยที่ ๑ ใข้ศอกตวัดกระแทกผู้เสียหายตกรถ และจำเลยที่หนี่งย้อนกลับมายังจุดนัดหมาย เป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ ๕๘/๔๖