วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ม.๑๗๔


มาตรา ๑๗๔  ถ้าการแจ้งข้อความตามมาตรา ๑๗๒ หรือมาตรา ๑๗๓ เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
ถ้าการแจ้งตามความในวรรคแรก เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใด[1]ต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท



[1] แจ้งความโดยมีเจตนาแกล้งให้รับโทษฐานแกล้งได้รับโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและเอาของมีพิษเจือลงในน้ำผิด ๑๒๗ และ๑๗๔วรรคสอง ,สำเร็จเมื่อพนักงานทราบข้อความที่จำเลยแจ้ง ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไรและถึงที่สุดหรือไม่ หาใช่ข้อสาระสำคัญ

.๑๓๙,๑๔๐


มาตรา ๑๓๙  ผู้ใด[1]ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปี หรือปรับไม่เกินแปดพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

[2]มาตรา ๑๔๐  ถ้าความผิดตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง หรือมาตรา ๑๓๙ ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธ หรือ[3]โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักกว่าโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ในสองวรรคก่อนกึ่งหนึ่ง



[1] ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน แต่เจ้าพนักงานไม่ทำตามเป็นพยายามข่มขืนใจ(แสดงว่าต้องการผล)
[2] ความผิดตาม ๑๔๐ มิได้บัญญัติเป็นความผิดชัดแจ้งในตนเอง จึงต้องปรับบทลงโทษตาม ๑๓๘ วรรคสองประกอบ
[3] ต้องมีเจตนาร่วมกัน หากเกิดขึ้นทันทีทันใดผู้กระทำความผิดต่างหลบหนี การที่ผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าพนักงานเป็นเรื่องเฉพาะตัว ผู้กระทำความผิดคนนั้นเท่านั้นผิด๑๔๐ ,ต้องกระทำร่วมกันในลักษณะที่เป็นตัวการ

ม.๑๓๘


มาตรา ๑๓๘  ผู้ใด[1]ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือ[2]ผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย[3]ในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



[1] ตำรวจเรียกให้หยุดกลับรถเลยไป ไม่หยุด ไม่เป็นการขัดขวาง  การดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นการจับกุม เป็นขั้นตอนหนึ่งของการหลบหนี หรือการที่เจ้าพนักงานไปมีเรื่องกับจำเลยเป็นการส่วนตัวและมีการต่อสู้กันกับจำเลยไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่  ,ตำรวจเข้าไปร่วมจับกุมผู้ลักลอบเล่นไฮโล ไม่ได้จับแต่ขอแบ่งรายได้ไม่เป็นการทำตามหน้าที่ หนีไม่เป็นการขัดขวาง,ตำรวจของค้นอาวุธที่ตัวจำเลยจำเลยใช้มือกดไม่ให้ตำรวจดึงปืนออกมาเพื่อยึดเป็นของกลางเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้าย  ,จำเลยดับไฟขณะเข้าจับกุมแม้จะทำให้เกิดความไม่สะดวกถือไม่ได้ว่าเป็นการขัดขวางแต่อาจผิด ๑๘๙ ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดมิให้ถูกจับกุม ,เจ้าพนักงานโดดขึ้นไปบนรถเพื่อจับกุม จำเลยขับรถส่ายไปมาเป็นการขัดขวาง ,จำเลยขับรถหลบหนีชนรถยนต์ของทางราชการเป็นการขัดขวางและทำให้เสียทรัพย์,ไม่ได้แต่งชุดตำรวจและไม่แสดงตนค้นจำเลยต่อสู้ถือว่าขาดเจตนา
[2] ม.๒๘๙(๓)ใช้คำว่า ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน” ๑๓๘ ผู้ใดต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเหลือเจ้าพนักงานดังนั้นมาตรา ๑๓๘ ต้องเป็นผู้ที่กฎหมายบังคับให้ต้องช่วยจำเลยจึงจะมีความผิด  ดังนั้นการที่ตำรวจขอให้ราษฎรขับเรือไล่ตามคนร้ายผิด ๒๘๙(๓) แต่ไม่ผิด ๑๓๘ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ที่มีหน้าที่เช่น สารวัตรกำนันต้องช่วยกำนัน และเจ้าหน้าที่ต้องมีหน้าที่ด้วย  เช่นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จับกุมไม่ดำเนินการจับแต่ให้คนอื่นดำเนินการ ถือว่าทำโดยไม่มีอำนาจผู้ถูกจับไม่ผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานเช่นตำรวจใช้พนักงานรักษาความปลอดภัยจับกุม(ต้องมีตัวเจ้าพนักงานอยู่ในที่เกิดเหตุ)  ,
[3] การจับกุมไม่ชอบแม้จำเลยขัดขวางก็ไม่ผิดเช่นจับโดยไม่มีหมายเพราะมิใช่การกระทำตามหน้าที่ หรือทำรุนแรงเกินไปในการจับ(ตำรวจเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลย)

ฎีกาอาญาน่าสนใจ

๑.ถามเจ้าพนักงานตำรวจ  ปฏิบัติหน้าที่รับแจ้ง ๑๙๑ มีหน้าที่รับโทรศัพท์  โทรไปแจ้งว่ามีการระเบิดเป็นเท็จจะผิดอะไร
๑.แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ๑๓๗  คงผิดแน่ เพราะเป็นเจ้าพนักงาน
๒.มาตรา ๑๗๓ ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความต่อพนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ได้ว่ามีการกระทำความผิด
ฎีกา เจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่รับโทรศัพท์ เป็นหน้าที่เฉพาะตามที่ราชการแต่งตั้ง แต่โดยทั่วไปเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญา  เมื่อมีการแจ้งเท็จ จึงเป็นการแจ้งต่อพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ม.๑๗๓ ด้วย ๗๐๐๘/๔๘

๒.ถาม  เคยมอบหมายให้เป็นตัวแทนขายสินค้าและมอบใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษี ไปใช้เก็บเงิน ต่อมาไม่ให้เป็นตัวแทนแล้วไม่ยอมคืนใบเสร็จรับเงินและใบกำกับสินค้าจะผิด ฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ม.๑๘๘ หรือไม่
ตอบ  ไม่เพราะมาตรา ๑๘๘ เป็นความผิดต่อพนักงานในการยุติธรรม กำหมายคุ้มครองเอกสารที่เป็นพยานหลักฐานในทำนองเดียวกับพินัยกรรมเป็นสำคัญ  มิได้มุ่งถึงกรรมสิทธิหรือสิทธิในการเป็นเจ้าของกระดาษหรือวัตถุที่ทำให้ปรากฎความหมายเป็นเอกสาร คำว่า “เอาไปเสีย” ม.๑๘๘ ไม่ได้มีความหมายเช่นเดียวกับมาตรา ๓๓๔ แต่หมายถึงเอาไปจากที่เอกสารนั้นเคยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้อื่นหรือประชาชนที่อาจขาดเอกสารเป็นพยานหลักฐาน  ตามข้อเท็จจริงเอกสารอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยมีหน้าที่ต้องคืน เมื่อให้คืนไม่คืนเป็นการโต้แย้งความผิดทางแพ่ง  ๘๔๕๐/๔๘

๓.ถ่ายเอกสารบัตรประชาชน แล้วมาแก้ไข โดยไม่ได้แก้ในเอกสารที่แท้จริงจะผิดปลอมเอกสารหรือไม่
ตอบ ผิด เพราะเป็นการปลอมขึ้นทั้งฉบับ แม้จำเลยจะไม่ได้แก้ในเอกสารที่แท้จริง การกระทำของเป็นความผิดฐานปลอมบัตรประชาชน อันเป็นเอกสารราชการ

๔.แก้ไขหมายเลขประจำปืน จะเป็นการปลอมเอกสาร หรือเอกสารราชการ หรือเอกสารสิทธิ
ตอบ เลขหมายประจำปืน  ไม่ใช่ทะเบียนอาวุธปืนซึ่งเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานจัดทำและมิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่ใช่เอกสารราชการและเอกสารสิทธิ

๕.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเรา  ในคราวเดียวกันเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
ตอบ หลายกรรมเพราะ ความผิดทั้งสองฐานมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นคนละเจตนา  และเป็นความผิดต่างฐาน  แม้จำเลยจะกระทำความผิดทั้งสองฐานเกี่ยวเนื่องกันไป ก็เป็นการกระทำความผิดหลายกรรม  ๔๖๑๐/๔๙

๖.พรากเด็กจากพ่อที่ไม่ได้จดทะเบียน  แต่เด็กอยู่ในความดูแลของพ่อมาตลอดจะเป็นการพรากหรือไม่
ตอบเป็นการพราก เพราะ คำว่า “พราก” หมายถึง ผู้กระทำความผิดได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของบิดามารดา หรือต่อผู้ปกครอง หรือต่อผู้ดูแลผู้เยาว์ คดีนี้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของบิดามาตลอด พ่อจึงเป็นผู้ปกครองผู้เสียหาย ๕๙๘๙/๔๘

๗.เป็นผู้ถือหุ้นกันภายในบริษัท  ตกลงเรื่องผลประโยชน์กันไม่ได้ จึงถอดเครื่องอุปกรณ์เครื่องจักรโรงงานไป จะผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่
ตอบไม่  เพราะ จำเลยมิได้ประสงค์ต่อทรัพย์ ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่น  แสดงว่ามิได้มีเจตนาทุจริต  ไม่ผิดลักทรัพย์ ๕๙๓-๔๙

๘.เป็นลูกจ้างในร้านซ่อมรถ ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับก้านสูบ  ได้เอาก้านสูบออกจากที่เก็บ เมื่อมีคนทักท้วงก็เอาไปเก็บ ถามว่าผิดสำเร็จหรือยัง
ตอบสำเร็จแล้ว เพราะ เมื่อนำทรัพย์ของผู้เสียหายออกจากที่เก็บ เป็นการเคลื่อนย้ายออกจากความครอบครองของผู้เสียหายแล้ว  ๖๓๗๑/๔๘

๙.จำเลยรับของโจร เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่  แล้วนำมาขู่ให้ผู้เสียหายนำเงินไปไถ่อีก ๕,๐๐๐ บาท หากไม่นำมาให้จะเอาโทรศัพท์ไปขาย ผู้เสียหายยอมให้เงินไถ่ ถามว่าผิดฐานรับของโจรแล้วจะผิดฐานกรรมโชกอีกหรือไม่
ตอบผิด กรรมโชกอีกเพราะ การที่จำเลยรับของโจรมาไว้ในความครอบครอง แล้วนำมาเรียกเงินโดยขู่ว่าไม่นำมาจะขายโทรศัพท์ เป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ ตนได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ ผิดกรรโชก  ๑๔๘๔/๔๙



วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ม.๓๖๒-๓๖๖


หมวด ๘
ความผิดฐานบุกรุก
                       

มาตรา ๓๖๒  ผู้ใด[1]เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๓  ผู้ใดเพื่อถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ยักย้ายหรือทำลาย[2]เครื่องหมายเขตแห่งอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๔  ผู้ใดโดย[3]ไม่มีเหตุอันสมควร เข้าไปหรือซ่อนตัวอยู่ใน[4]เคหสถาน อาคารเก็บรักษาทรัพย์หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่น หรือไม่ยอมออกไปจากสถานที่เช่นว่านั้นเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๕  [5]ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา  ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓ หรือมาตรา ๓๖๔ ได้กระทำ
(๑) โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป หรือ
(๓) [6]ในเวลากลางคืน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๖  ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา ๓๖๕ เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] ต้องมีการเข้าไป ดังนั้น การที่จำเลยเพียงแต่ใช้ขวดขว้างและใช้มีดฟันห้องพัก และเรียกผู้เสียหายออกมาพูดคุยและขู่ฆ่า โดยจำเลยไม่เข้าไปในห้องพักไม่ผิดบุกรุก,แต่การที่จำเลยเอื้อมมือเข้าไปในบริเวณบ้านผู้เสียหายเพื่อจับผู้เสียหายกระชากออกไปถือว่าเข้าไปแล้ว,การที่จำเลยนำไม้ไปปิดหรือใส่กุญแจประตูทางเข้าออกจากอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ผู้ครอบครองเข้าออกอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้ เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ผู้อื่นแล้วกรณีเป็นฎีกาเกี่ยวกับผู้ให้เช่ากับผู้เช่า แม้จะเป็นเจ้าของและผู้เช่าผิดสัญญาเช่าการที่ผู้ให้เช่าไปปิดประตูเป็นบุกรุก,แม้จะมีคำพิพากษาศาลหากผู้เช่ายังไม่ทราบคำสั่งก็ผิด,(ผู้เช่ายังมีสิทธิครอบครองอยู่),ตามสัญญาเช่ามีข้อตกลงหากผู้เช่าผิดสัญญาให้ผู้ให้เช่าเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าได้ การที่ผู้ให้เช่าปิดล๊อคกุญแจอาคารที่เช่าเป็นการกระทำที่จำเลยเข้าใจว่าตนมีอำนาจทำได้ตามาสัญญาเป็นการกระทำโดยขาดเจตนา(ข้อตกลงมิใช่ปัญหาความสงบและและมิใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม,กรณีเข้าไปในบ้านของผู้อื่น แต่เจ้าของบ้านเห็นเสียก่อนจำเลยจึงวิ่งหนีออกไปไม่เป็นการรบกวนหรือขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อสำรวจทรัพย์สินยังไม่เป็นการรบกวน ไม่ผิด๓๖๒ แต่ผิด ๓๖๔,การเข้าไปรบกวนเช่น เข้าไปขับไล่บริวารออกไป ดังนั้นการเข้าไปหาเรื่องชวนทะเลอะวิวาทและทำร้ายที่อยู่ในเคหสถาน ไม่ถือว่าเป็นการรบกวน แต่เป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร,การครอบครองที่ดินมือเปล่าหลังจากสิทธิเรียกร้องเอาคืนภายใน ๑ ปีสิ้นสุดลงไม่ผิด ๒๑๓๗/๓๐,บทบัญญัติ ๓๖๒,๓๖๔ มุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่บุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น ไม่รวมที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน(ผิดตามป.ที่ดิน ๙ ๑๐๘(ทวิ))๕๖๑๖/๓๙,กรณีมีผู้เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน(เขตป่าสงวนแห่งชาติ) ซึ่งในนระหว่างราษฎรด้วยกันเอง ถือว่าผู้ครอบครองเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าผู้อื่น แต่ใช้ยันรัฐไม่ได้ผู้นั้นไม่ใช่ผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นแม้มีผู้อื่นเข้าไปไม่ผิดบุกรุก,ในกรณีโจทก์กับจำเลยยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดิน การที่จำเลยเข้าไปในที่ดินเป็นเพราะเข้าใจโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิในที่ดินพิพาทถือว่าไม่มีเจตนาบุกรุก มูลกรณีเป็นความรับผิดทางแพ่งไม่มีความผิดฐานบุกรุก(ไม่ผิดทำให้เสียทรัพย์ด้วย)
[2] ถอนหลักที่จ่าศาล ปักไว้ในการรังวัดทำแผนที่ไม่ผิด ๓๖๓ เพราะ มิใช่เป็นการยักยอกหรือทำลายหลักเขตที่แสดงสิทธิแห่งอสังหาฯโดยแท้จริง
[3] กรณีถือว่ามีเหตุอันสมควร ได้แก่ จำเลยเช่าเล้าเป็ดพ่อจำเลยอยู่จำเลยเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้ง วันเกิดเหตุเข้าไปกระทำชำเราโดยผู้เสียหายยินยอม, ผู้เสียหายและจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวในวันเกิดเหตุมาบ้านผู้เสียหายและกอดรัดผู้เสียหาย ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แม้ผู้เสียหายจะปฏิเสธและจำเลยไม่เลิกรา ก็น่าจะเป็นเพราะต้องการแสดงความรักต่อผู้เสียหาย ขาดเจตนาบุกรุก , จำเลยเข้าไปในบ้านผู้อื่นโดยบุตรสาวเจ้าของบ้านชวนหรือนัดเข้าไป แม้ผู้เสียหาย(บิดา)จะมิได้อนุญาตให้จำเลยเข้าไป ก็มิใช่เป็นการเข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร ทั้งมิใช่เป็นการกระทำใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาฯของผู้เสียหายโดยปกติสุขตาม ป.อ.ม.๓๖๒,๓๖๔ จำเลยไม่มีความผิด, เข้าไปตามเมีย , เข้าไปทวงค่าแรง,เข้าไปโดยได้รับความยินยอม(ไม่อาจถือว่าไม่มีเหตุอันสมควร) เช่นอนุญาตเข้าไปค้น ,อนุญาตเข้าไปดูโทรทัศน์,แต่ถ้าห้องดูโทรทัศน์เป็นห้องแยกไปห้องนอนผิดบุกรุก,เข้าไปโดยถือวิสาสะไม่ผิด
[4] เคหสถาน ๑(๔)ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยเช่น เรือน และให้หมายความรวมถึง บริเวณที่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ การที่จำเลยเข้ามาที่สนามหญ้าหน้าบ้านพักถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานแล้ว
[5] ความผิดตาม ๓๖๕ มิได้บัญญัติความผิดชัดแจ้งอยู่ในตัว ดังนั้น ในการปรับบทจะต้องปรับบทมาตรา ๓๒๖หรือ ๓๖๔ ประกอบด้วย
[6] สาระสำคัญของความผิดฐานบุกรุก คือการเข้าไปในอสังหาฯหรือเคหสถาน ความผิดจึงเกิดขึ้นสำเร็จตั้งแต่จำเลยเข้าไป ส่วนการที่ครอบครองต่อมาก็เป็นผลของการบุกรุกไม่ใช่ความผิดต่อเนื่อง ดังนั้นหากตอนแรกที่จำเลยบุกรุกเป็นเวลากลางวัน แม้จำเลยจะครอบครองในเวลากลางคืนด้วยก็ไม่เป็นความผิด,ความผิดฐานบุกรุกม.๓๖๒ มีสองตอนได้แก่ ตอนหนึ่งเข้าไปเพื่อถือการครอบครอง อีกตอนหนึ่งคือเข้าไปทำการรบกวนการครอบครอง เมื่อเข้าไปขั้นตอนแรกยุติลงการกระทำหลังก็ไม่เป็นความผิดต่อเนื่องติดต่อเกิดขึ้นตลอดเวลา ผลไม่ผิดเวลากลางคืน อายุความจึงเริ่มนับแต่ครั้งแรกที่เข้าไป

ม.๓๕๘-๓๖๑


หมวด ๗
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
                       

มาตรา ๓๕๘  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือ[1]ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๕๙  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๕๘ ได้กระทำต่อ
(๑) เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกสิกรรมหรืออุตสาหกรรม
(๒) [2]ปศุสัตว์
(๓) ยวดยานหรือสัตว์พาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณหรือในการประกอบ
กสิกรรมหรืออุตสาหกรรม หรือ
(๔) [3]พืชหรือพืชผลของกสิกร
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๐  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ [4]ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๐ ทวิ  ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคหนึ่ง ที่ประดิษฐานอยู่ในสถานที่ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๓๖๑  ความผิดตามมาตรา ๓๕๘ และมาตรา ๓๕๙ เป็นความผิดอันยอมความได้



[1] ทำให้ไร้ประโยชน์ คือ ทำให้ประโยชน์ของทรัพย์หมดไป แม้จะเป็นการชั่วคราวเป็นเรื่องของการมุ่งการพิจารณาถึงตัวทรัพย์ไม่ใช่ประโยชน์ผู้ใช้สอย  กรณีถือว่าทำให้ไร้ประโยชน์ ได้แก่ ทำให้ผู้อื่นใช้ทางเท้าไม่ได้ ,ใช้เสาคอนกรีตปักปิดขวางปากคลองทำให้ประชาชนทั่วไปสัญจรไม่ได้ ,ขุดหน้าดินโจทก์ร่วมไป กรณีไม่ใช่ เช่นการนำรั้วมาล้อมบ่อน้ำสาธารณะประชาชนเข้าใช้บ่อน้ำไม่ได้ ,บ่อน้ำคงมีสภาพตามเดิม ไม่ได้ถูกทำให้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด ,ยึดครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์,หรือมีอำนาจทำได้ก็ไม่ผิดเช่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรื้อถอนอาคารตาม พรบ.ควบคุมการก่อสร้าง ,พนักงานป่าไม้บอกให้รถบรรทุกผิดกฎหมายหยุด เมื่อไม่หยุดได้ยิงยางล้อรถแตก ,ฎ ๙๐๙๓/๔๔
[2] ปศุสัตว์ หมายถึง สัตว์สี่เท้าที่เลี้ยงเพื่อใช้เป็นอาหาร เช่น หมู
[3] เช่น ข้าว,ต้นกล้วย ,ต้นยาง กรณีไม่ใช่ ได้แก่ ต้นมะพร้าวที่ปลูกอยู่ในเขตที่ดินในแนวสวนและไม่ปรากฎว่าผู้เสียหายมีอาชีพอะไรไม่ผิด
[4] ม.๓๖๐ เป็นบทบัญญัติเอกเทศสัญญา แยกไปจากม.๓๕๘ ไม่ใช่บทเพิ่มโทษ กรณีที่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ได้แก่ ราษฎรในหมู่บ้านได้ทำถนนขึ้นเป็นถนนสาธารณะ เพื่อให้ราษฎรใช้สัญจร,ขุดหลุมปักเสาในถนนอันเป็นทางสาธารณะ ,จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองคลองสาธารณะ ,โทรศัพท์สาธารณะ๑๑๗๕/๒๖ ,ป้ายบอกชื่อหนองน้ำ ๑๑๙๖/๑๘ กรณีไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น สถานีตำรวจเป็นทรัพย์สินประเภทที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์  ,การเข้าไปในคลองสาธารณประโยชน์ พรวนดินและปลูกมะพร้าวไม่เป็นการทำให้เสียทรัพย์,

ม.๓๕๗


หมวด ๖
ความผิดฐานรับของโจร
                       

มาตรา ๓๕๗  [1]ผู้ใดช่วย[2]ซ่อนเร้น ช่วย[3]จำหน่าย ช่วย[4]พาเอาไปเสีย [5]ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำเพื่อค้ากำไรหรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ (๑๐) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น ได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๕ ทวิ การชิงทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๙ ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา ๓๔๐ ทวิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท



[1] ผู้ใด  ความผิดฐานรับของโจรต้อง กระทำโดยบุคคลที่ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดในการได้ทรัพย์มา เช่น ผู้ร่วมฉ้อโกง
[2] ซ่อนเร้น หมายถึง การปกปิดไม่ให้พบเห็นหรือพบเห็นได้ยากขึ้น การอำพรางดัดแปลงทรัพย์เป็นการซ่อนเร้นได้ เช่น การช่วยฆ่ากระบือที่ลักมาแล้วนำไปขาย
[3] ช่วยจำหน่าย  หมายถึง การให้ทรัพย์พ้นจากผู้ได้ทรัพย์มาโดยการส่งมอบต่อไปไม่ว่าจะมีค่าตอบแทนหรือไม่และไม่ว่าจะรวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์ เช่นการติดต่อเรียกและรับค่าไถ่ทรัพย์
[4] หมายความว่าทำให้ทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิม พ้นไปจากความยึดถือครอบครองเดิม
[5] ซื้อ หมายความว่า  รับทรัพย์ที่เป็นของโจร  โดยมีค่าตอบแทน