มาตรา ๑๓๘ ผู้ใด[1]ต่อสู้
หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือ[2]ผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย[3]ในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้น
ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
[1] ตำรวจเรียกให้หยุดกลับรถเลยไป ไม่หยุด ไม่เป็นการขัดขวาง การดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นการจับกุม
เป็นขั้นตอนหนึ่งของการหลบหนี
หรือการที่เจ้าพนักงานไปมีเรื่องกับจำเลยเป็นการส่วนตัวและมีการต่อสู้กันกับจำเลยไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ,ตำรวจเข้าไปร่วมจับกุมผู้ลักลอบเล่นไฮโล
ไม่ได้จับแต่ขอแบ่งรายได้ไม่เป็นการทำตามหน้าที่
หนีไม่เป็นการขัดขวาง,ตำรวจของค้นอาวุธที่ตัวจำเลยจำเลยใช้มือกดไม่ให้ตำรวจดึงปืนออกมาเพื่อยึดเป็นของกลางเป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้าย ,จำเลยดับไฟขณะเข้าจับกุมแม้จะทำให้เกิดความไม่สะดวกถือไม่ได้ว่าเป็นการขัดขวางแต่อาจผิด
๑๘๙ ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดมิให้ถูกจับกุม ,เจ้าพนักงานโดดขึ้นไปบนรถเพื่อจับกุม
จำเลยขับรถส่ายไปมาเป็นการขัดขวาง
,จำเลยขับรถหลบหนีชนรถยนต์ของทางราชการเป็นการขัดขวางและทำให้เสียทรัพย์,ไม่ได้แต่งชุดตำรวจและไม่แสดงตนค้นจำเลยต่อสู้ถือว่าขาดเจตนา
[2] ม.๒๘๙(๓)ใช้คำว่า
ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน” ๑๓๘ ผู้ใดต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเหลือเจ้าพนักงานดังนั้นมาตรา ๑๓๘
ต้องเป็นผู้ที่กฎหมายบังคับให้ต้องช่วยจำเลยจึงจะมีความผิด
ดังนั้นการที่ตำรวจขอให้ราษฎรขับเรือไล่ตามคนร้ายผิด ๒๘๙(๓) แต่ไม่ผิด ๑๓๘
เพราะไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ที่มีหน้าที่เช่น
สารวัตรกำนันต้องช่วยกำนัน และเจ้าหน้าที่ต้องมีหน้าที่ด้วย
เช่นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จับกุมไม่ดำเนินการจับแต่ให้คนอื่นดำเนินการ
ถือว่าทำโดยไม่มีอำนาจผู้ถูกจับไม่ผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานเช่นตำรวจใช้พนักงานรักษาความปลอดภัยจับกุม(ต้องมีตัวเจ้าพนักงานอยู่ในที่เกิดเหตุ) ,
[3] การจับกุมไม่ชอบแม้จำเลยขัดขวางก็ไม่ผิดเช่นจับโดยไม่มีหมายเพราะมิใช่การกระทำตามหน้าที่
หรือทำรุนแรงเกินไปในการจับ(ตำรวจเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลย)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น