มาตรา
๕๙ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้[1]กระทำโดยเจตนา
เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ใน[2]กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา[3]
ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือ[4]ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำ[5]มิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
[6]กระทำโดยประมาท
ได้แก่กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา
แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ
ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น[7]โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
[1] การกระทำ
หมายถึง การเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก
อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ (คิด ตกลงใจ กระทำไปสืบเนื่องมาจากความคิด)
กรณีไม่ถือว่าเป็นการกระทำ เช่น คนละเมอ คนเป็นล้มบ้าหมู ร่างกายกระตุกไม่รู้ตัว คนถูกผลัก
หรือถูกจับมือขณะเผลอ ผู้ถูกสะกดจิต
[2] ความผิดที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
มาตรา ๒๐๕ควบคุมดูแลผู้ที่ต้องคุมขัง กระทำด้วยประการใดๆ
ให้ผู้ที่อยู่ในระหว่างคุมขังนั้นหลุดพ้นจากการคุมขังไป
มาตรา ๒๒๕
ผู้ใดกระทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท
มาตรา ๒๓๙
ถ้าการกระทำดังกล่าวในมาตรา ๒๒๖ ถึงมาตรา ๒๓๗ เป็นการกระทำโดยประมาท
และใกล้จะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น
มาตรา ๒๙๑
ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
มาตรา ๓๐๐
ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส
มาตรา ๓๑๑
ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกหน่วงเหนี่ยว
ถูกกักขัง หรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย
มาตรา ๓๙๐ ผู้ใดกระทำโดยประมาท
และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
[3] กระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้เสียหายไม่ได้บรรจุตะกั่ว
บรรจุเฉพาะดินปืนอัดด้วยกระดาษ
จำเลยทราบดีว่าไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย การกระทำถือว่าไม่มีเจตนา
๙๕๐/๒๕๕๒,ใช้ปืนลูกซองยิงบุคคลหนึ่งแต่ผลไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ
เป็นเล็งเห็นผลไม่อาจอ้างบันดาลโทสะ
[4] เจตนาย่อมเล็งเห็นผล หมายถึง ไม่ใช่เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง
แต่ย่อมเล็งเห็นได้ว่า ผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน แนวฎีกา
ตำรวจตั้งด่านตำรวจเป่านกหวีดให้หยุดไม่หยุด
พุ่งเข้าใส่เจ้าพนักงานที่ยืนอยู่ทางซ้าย ๒-๓คน แต่เจ้าพนักงานกระโดดหลบทัน
,จำเลยกดหน้าผู้เสียหายเป็นเวลานาน
,จำเลยถอดกางเกงเดินเข้าไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายขณะผู้ตายไม่ได้สวมกางเกงและยืนพิงลูกกรงระเบียงอาคารซึ่งสูงเพียงระดับสะโพกโดยผู้ตายไม่ยินยอม
เมื่อผู้ตายดิ้นลงและพลัดตกลงไปตาย,การใช้อาวุธปืนอันเป็นอาวุธร้ายแรงยิงเข้าไปในบ้านผู้เสียหายในยามวิกาล
แม้ไม่ถูกผู้ใดแต่มีหนึ่งลูกห่างผู้เสียหาย ๑นัด๕๕๙๒/๓๓
,การใช้ปืนยิงไปที่กลุ่มคนหมู่มากและอยู่ในที่จำกัด(รถโดยสาร)
๒๕๖๗/๔๔,ใช้ก้อนหินก้อนโตขนาดเท่ากำปั้นขว้างกระจกรถยนต์อาจทำให้ผู้เสียหลักคว่ำได้๑๑๗๘/๓๙,ใช้ปืนลูกซองยิงไปที่ขวดสุราบนโต๊ะที่ผู้เสียหายนั่งย่อมเล็งเห็นผลว่าลูกกระสุนปืนลูกซองอาจกระจายไปถูกผู้เสียหาย๒๐๖๐/๔๑,จำเลยกับพวกช่วยกันถีบผู้เสียหายให้ตกจากรถโดยสารขณะที่ขับด้วยความเร็วประมาณ
๖๐ ก.ม./ชั่วโมง , (เจตนาพิเศษจะเอาเจตนาย่อมเล็งเห็นผลมาใช้ไม่ได้ เช่น ป.อ.
ม.๒๒๘ บัญญัติว่า “ผู้ใดทำด้วยประการใด ๆ
เพื่อให้เกิดอุทกภัย..ถ้าการกระทำนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่” คำว่า
เพื่อให้เกิดอุทกภัย ตามมาตรานี้ต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง
จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมา.๕๙วรรคสองมาใช้ไม่ได้๑๒๔๐/๐๔(ป))
[5] การไม่รู้ข้อเท็จจริง
หมายถึงความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับองค์ประกอบภายในของความผิดนั้น ผล
ถือว่า ไม่มีเจตนาตาม ๕๙ วรรคสาม ,ความแตกต่างระหว่างมาตรา ๕๙วรรคสามกับมาตรา ๖๒
มีดังนี้ กรณีเป็นการสำคัญผิดตามมาตรา ๖๒
วรรคหนึ่งนั้น การกระทำนั้นต้องครบองค์ประกอบภายนอกและผู้กระทำต้องมีเจตนากระทำความผิดเสียก่อน
คือ ต้องรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก
หากผู้กระทำไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก
ย่อมถือว่าไม่มีเจตนาตาม ๕๙ วรรคสาม เช่น
จำเลยกระทำชำเราโดยผู้เสียหายโดยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายอายุ ๑๗ ปี เท่ากับไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายอายุไม่เกิน
๑๕ ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ตามม.๒๗๗ วรรคแรก
ถือว่าจำเลยไม่มีเจตนา
ซึ่งจะเข้าวรรคสองม.๖๒ อีว่าได้เกิดจากความประมาทหรือไม่
ตอบว่าประมาทแต่กระทำชำเราโดยประมาทไม่ผิด
,แนวฎีกา ถือว่าไม่รู้ข้อเท็จจริง ,ตัดต้นไม้โดยเข้าใจว่าเจ้าของอนุญาตแล้ว
,จำเลยใช้เอกสารโดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอม
,หลัก ม.๒๖๔ องค์ประกอบ ม.๒๖๔ “โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” ไม่ใช่เจตนาพิเศษจึงไม่เกี่ยวกับเจตนา
ไม่ใช่การกระทำโดยแท้แต่เป็พฤติการณ์ประกอบการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายได้
แม้จะไม่เกิดความเสียหายจริงก็พิจารณาได้จากความคิดของบุคคลทั่วไป
ดังนั้นผู้ปลอมเอกสารจะอ้างว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงถือว่าไม่มีเจตนาไม่ได้ เช่น
ปลอมสัญญากู้ผู้ตายว่าผู้ตายกู้ซึ่งไม่จริงจะนำไปหลอกทายาทแม้ยังไม่ได้นำไปหลอกทายาทก็ผิดสำเร็จ
[6] ประมาท แนวฎีกา
ซ๊อตปลาในคลองสาธารณะมีคนลงไปอาบน้ำไฟฟ้าซ๊อตตาย
๘๓๒/๔๐,ขับรถผ่านสี่แยกด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้และไม่ชะลอให้ช้าลง
เป็นเหตุให้ชนกับรถที่จอดล้ำเส้นเข้าไปในสี่แยกโดยล้ำเส้นเครื่องหมายหยุด,คนโดยสารตกน้ำถอยเรือไปรับทำให้ใบพัดฟันคนที่ตกน้ำตาย,ลักน้ำมันโดยใช้สายไฟต่อแบตเตอรี่กัลป์ปั้มดูดน้ำ
ระหว่างดึงสายเปลี่ยนถังดูดดึงสายไฟให้ปั้มหยุดเกิดประกายไฟทำให้เกิดเพลิงไหม้เป็นการกระทำโดยประมาท,
หลักสำคัญของประมาท
๑.การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย จะถือว่าประมาททันทีไม่ได้ ต้องพิจารณาตาม ฒ.๕๙ วรรคสี่ เช่นขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต แต่ไม่ประสาทก็ไม่ผิด
๒.ผู้กระทำต่างคนต่างประมาท (ไม่มีประมาทร่วม) ต่างคนต่างรับผิดฐานประสาท เช่น ขับรถผ่านสี่แยกไม่ชลอความเร็วอีกฝ่ายหยุดล้ำกินไปช่องทางจราจร มีคนตายก็ผิด หรือ นายกครูสอนขับรถ.สอนนายข.ขับรถในที่คับขันนายก.นั่งควบคุมไปแต่ฝนตกถนนลื่นหักหลบรถสามล้อทำให้รถพุ่งข้ามถนนชนคนบาดเจ็บและตายเป็นการกระทำโดยประมาทของทั้งสอง
๓.การกระทำโดยประมาทไม่มีการพยายามกระทำความผิดตามม.๘๐
๔.การกระทำโดยประมาทจะมีการร่วมกระทำ ม.๘๓ ใช้ให้กระทำ ม.๘๔ หรือสนับสนุนให้กระทำตามม.๘๕ ไม่ได้เช่นแดงสั่งให้ดำขับรถเร็ว ดำประมาทชนคนตายแดงมิใช่ผู้ใช่และมิใช่ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม หรือดำกับแดงนัดกัน
๕.การกระทำโดยงดเว้นอาจเป็นการกระทำโดยประมาทได้ เช่น จำเลยขับรถบรรทุกเสาไฟฟ้ามาเวลากลางคืน ล้อรถพวงหลุด ทำให้เสาไฟตกขวางถนน จำเลยไม่จัดให้มีโคมไฟหรือสัญญาณเดือน มีรถแล่นมาชนเสาไฟดังกล่าวตาย ถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาทและผลเสียหายเกิดจากการที่จำเลยงดเว้นผิด ๒๙๑,๓๐๐๖.บางกรณีแม้ผู้กระทำจะประมาทและมีผลเกิดขึ้น ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดหากไม่เข้าหลักความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล เช่น นายหนึ่งขับรถไปตามช่องทางแต่นายสองหักข้ามเลนต์มาในระยะกระชั้นชิด แม้นายหนึ่งขับรถมาเร็วน้อยกว่านี้ก็ต้องชนอยู่นั่นเองไม่ประมาท
หลักสำคัญของประมาท
๑.การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย จะถือว่าประมาททันทีไม่ได้ ต้องพิจารณาตาม ฒ.๕๙ วรรคสี่ เช่นขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต แต่ไม่ประสาทก็ไม่ผิด
๒.ผู้กระทำต่างคนต่างประมาท (ไม่มีประมาทร่วม) ต่างคนต่างรับผิดฐานประสาท เช่น ขับรถผ่านสี่แยกไม่ชลอความเร็วอีกฝ่ายหยุดล้ำกินไปช่องทางจราจร มีคนตายก็ผิด หรือ นายกครูสอนขับรถ.สอนนายข.ขับรถในที่คับขันนายก.นั่งควบคุมไปแต่ฝนตกถนนลื่นหักหลบรถสามล้อทำให้รถพุ่งข้ามถนนชนคนบาดเจ็บและตายเป็นการกระทำโดยประมาทของทั้งสอง
๓.การกระทำโดยประมาทไม่มีการพยายามกระทำความผิดตามม.๘๐
๔.การกระทำโดยประมาทจะมีการร่วมกระทำ ม.๘๓ ใช้ให้กระทำ ม.๘๔ หรือสนับสนุนให้กระทำตามม.๘๕ ไม่ได้เช่นแดงสั่งให้ดำขับรถเร็ว ดำประมาทชนคนตายแดงมิใช่ผู้ใช่และมิใช่ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม หรือดำกับแดงนัดกัน
๕.การกระทำโดยงดเว้นอาจเป็นการกระทำโดยประมาทได้ เช่น จำเลยขับรถบรรทุกเสาไฟฟ้ามาเวลากลางคืน ล้อรถพวงหลุด ทำให้เสาไฟตกขวางถนน จำเลยไม่จัดให้มีโคมไฟหรือสัญญาณเดือน มีรถแล่นมาชนเสาไฟดังกล่าวตาย ถือว่าจำเลยกระทำโดยประมาทและผลเสียหายเกิดจากการที่จำเลยงดเว้นผิด ๒๙๑,๓๐๐๖.บางกรณีแม้ผู้กระทำจะประมาทและมีผลเกิดขึ้น ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดหากไม่เข้าหลักความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล เช่น นายหนึ่งขับรถไปตามช่องทางแต่นายสองหักข้ามเลนต์มาในระยะกระชั้นชิด แม้นายหนึ่งขับรถมาเร็วน้อยกว่านี้ก็ต้องชนอยู่นั่นเองไม่ประมาท
๒.ผู้กระทำมีหน้าที่ต้องกระทำ
ได้แก่ หน้าที่ตามกฎหมายบัญญัติ เช่นบุตรจำต้องอุปการะบิดามารดาปพพ.๑๕๖๓,หน้าที่อันเกิดจากการยอมรับโดยเฉพาะเจาะจง
เช่น รับเป็นคนเลี้ยงเด็ก,หน้าที่อันเกิดจากการกระทำก่อน ๆของตน
พาคนตาบอดข้ามถนนเวลากลางคืนทิ้งไว้กลางถนนเพราะรีบไปขึ้นรถประจำทาง,หน้าที่อันเกิดจากความสัมพันธ์พิเศษเฉพาะเรื่อง เช่นบิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายดูแลบุตร
๓..เป็นหน้าที่ซึ่งต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลนั้นขึ้น
แนวฎีกา งดเว้น
เช่น จอดรถบรรทุกข้างทางมีรถจักรยานยนต์มาชน
ความตายเป็นผลโดยตรงจากความประสาทของจำเลยที่งดเว้นการจักต้องป้องกันผล,ลูกจ้างการรถไฟมีหน้าที่ควบคุมสัญญาณห้ามรถผ่านเผลอหลับไม่ควบคุมสัญญาณตามปกติทำให้เขียวขับรถผ่านขณะรถไฟผ่านรถไฟชนรถยนต์
หลักงดเว้น
๑.การร่วมกระทำความผิดโดยการงดเว้นก็มี เช่น ภริยา เห็นสามีถูกชู้ภริยาทำร้าย ไม่ได้ขัดขวางและไล่ลูก ๆ ออกไปและห้ามไม่ให้บอกใครผิดสนับสนุน ๒.ความแตกต่างระหว่างกระทำโดยงดเว้นกับกระทำโดยละเว้นคือ งดเว้นเป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผล ละเว้นเป็นหน้าที่โดยทั่ว ๆ ไปที่ต้องกระทำเช่น เป็นนักว่ายน้ำเหรียญทองเห็นเด็กจะจมน้ำไม่ช่วย
๓.ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม มีดังนี้
๓.๑ใช้หรือหลอกใช้ให้ผู้อื่นกระทำโดยผู้กระทำไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด เช่น นายแดงต้องการฆ่าดำหลอกนางขาวนางพยาบาลว่าเป็นยาบำรุง
๓.๒ หลอกให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยผู้ถูกหลอกไม่ต้องรับผิด เพราะมีกฎหมายยกเว้นความผิด เช่น แดงต้องการฆ่าดำแต่ไม่กล้าทำหลอกขาวว่าดำกำลังจะยิงขาว ขาวหลงเชื่อยิงดำตาย ขาวไม่ผิดอ้าง ม.๖๘ ประกอบ ๖๒ แต่แดงผิดฐานฆ่าดำโดยเจตนา
๓.๓.หลอกให้ผู้อื่นกระทำความผิด โดยผู้ถูกหลอกเจตนากระทำแต่ผู้ถูกหลอกกระทำเพียงฐานประมาท เช่น หลอกให้เอาปืนไปยิงคนอื่นโดยมีเจตนาฆ่าแต่หลอกผู้ยิงว่าไม่มีเจตนาฆ่า ,
๓.๔ผู้ใช้มีคุณสมบัติ แต่ผู้ถูกใช้ไม่มีคุณบัติทำ เช่น แดงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร ใช้ดำราษฎรทำปลอมเอกสารซึ่งแดงมีหน้าที่ทำ แดงผิด ๑๖๑ ดำผิดเพียงสนับสนุน
๓.๕.ผู้ที่ใช้ให้ผู้ที่การกระทำไม่เป็นความผิด เพราะขาดองค์ประกอบที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น แดงจำนำแหวนไว้กับดำ แดงใช้เหลืองไปทำลายแหวน เหลืองไม่ผิดโกงเจ้าหนี้ แต่ผิดผู้สนับสนุน แต่แดงผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (โดยเป็นผู้กระทำความผิดโดยอ้อม)
๓.๖.ที่บังคับหรือหลอกให้ผู้เสียหายให้กระทำต่อตัวผู้เสียหายเอง เช่น แดงต้องการฆ่าดำหลอกให้กินน้ำส้มผสมยาพิษ
หลักงดเว้น
๑.การร่วมกระทำความผิดโดยการงดเว้นก็มี เช่น ภริยา เห็นสามีถูกชู้ภริยาทำร้าย ไม่ได้ขัดขวางและไล่ลูก ๆ ออกไปและห้ามไม่ให้บอกใครผิดสนับสนุน ๒.ความแตกต่างระหว่างกระทำโดยงดเว้นกับกระทำโดยละเว้นคือ งดเว้นเป็นหน้าที่โดยเฉพาะที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผล ละเว้นเป็นหน้าที่โดยทั่ว ๆ ไปที่ต้องกระทำเช่น เป็นนักว่ายน้ำเหรียญทองเห็นเด็กจะจมน้ำไม่ช่วย
๓.ผู้กระทำความผิดโดยอ้อม มีดังนี้
๓.๑ใช้หรือหลอกใช้ให้ผู้อื่นกระทำโดยผู้กระทำไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด เช่น นายแดงต้องการฆ่าดำหลอกนางขาวนางพยาบาลว่าเป็นยาบำรุง
๓.๒ หลอกให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยผู้ถูกหลอกไม่ต้องรับผิด เพราะมีกฎหมายยกเว้นความผิด เช่น แดงต้องการฆ่าดำแต่ไม่กล้าทำหลอกขาวว่าดำกำลังจะยิงขาว ขาวหลงเชื่อยิงดำตาย ขาวไม่ผิดอ้าง ม.๖๘ ประกอบ ๖๒ แต่แดงผิดฐานฆ่าดำโดยเจตนา
๓.๓.หลอกให้ผู้อื่นกระทำความผิด โดยผู้ถูกหลอกเจตนากระทำแต่ผู้ถูกหลอกกระทำเพียงฐานประมาท เช่น หลอกให้เอาปืนไปยิงคนอื่นโดยมีเจตนาฆ่าแต่หลอกผู้ยิงว่าไม่มีเจตนาฆ่า ,
๓.๔ผู้ใช้มีคุณสมบัติ แต่ผู้ถูกใช้ไม่มีคุณบัติทำ เช่น แดงเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร ใช้ดำราษฎรทำปลอมเอกสารซึ่งแดงมีหน้าที่ทำ แดงผิด ๑๖๑ ดำผิดเพียงสนับสนุน
๓.๕.ผู้ที่ใช้ให้ผู้ที่การกระทำไม่เป็นความผิด เพราะขาดองค์ประกอบที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น แดงจำนำแหวนไว้กับดำ แดงใช้เหลืองไปทำลายแหวน เหลืองไม่ผิดโกงเจ้าหนี้ แต่ผิดผู้สนับสนุน แต่แดงผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (โดยเป็นผู้กระทำความผิดโดยอ้อม)
๓.๖.ที่บังคับหรือหลอกให้ผู้เสียหายให้กระทำต่อตัวผู้เสียหายเอง เช่น แดงต้องการฆ่าดำหลอกให้กินน้ำส้มผสมยาพิษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น